กำไรสุทธิ 3Q67 ของ KBANK ออกมาตาม consensus คาด แต่สูงกว่า INVX คาด โดยผลประกอบการสะท้อนถึง: 1) credit cost ในระดับทรงตัว QoQ โดยมี NPL ไหลเข้าในระดับทรงตัว 2) สินเชื่อที่หดตัวลง 3) NIM ที่แคบลง QoQ 4) non-NII ที่ลดลง และ 5) อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ที่สูงขึ้น เราปรับประมาณการกำไรของ KBANK เพิ่มขึ้น 9% สำหรับปี 2567 (หลักๆ เกิดจากกำไร FVTPL) และ 10% สำหรับปี 2568 (หลักๆ เกิดจากการปรับประมาณการ credit cost ลดลง) เรายังคงคำแนะนำ NEUTRAL สำหรับ KBANK และปรับราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้นจาก 145 บาท สู่ 160 บาท เนื่องจากเราปรับ valuation เพิ่มขึ้นเล็กน้อย เพื่อสะท้อน ROE ที่สูงขึ้นจาก credit cost ที่ลดลงกลับสู่ระดับปกติในปี 2568
3Q67: กำไรสุทธิออกมาตาม consensus คาด แต่สูงกว่า INVX คาดจากกำไร FVTPL กำไรสุทธิ 3Q67 อยู่ที่ 1.197 หมื่นลบ. (-5% QoQ, +6% YoY) เป็นไปตาม consensus คาด แต่สูงกว่า INVX คาด 13% หลักๆ เกิดจากกำไรจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านทางกำไรหรือขาดทุน (FVTPL)
รายการที่สำคัญ:
แนวโน้ม 4Q67 และปี 2568 เราปรับประมาณการกำไรของ KBANK เพิ่มขึ้น 9% สำหรับปี 2567 (หลักๆ เกิดจากกำไร FVTPL) และ 10% สำหรับปี 2568 (หลักๆ เกิดจากการปรับประมาณการ credit cost ลดลง) กำไร 9M67 คิดเป็น 79% ของประมาณการกำไรปี 2567 ของเรา เราคาดว่ากำไร 4Q67 จะลดลง QoQ (NIM แคบลง และ opex เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล) แต่จะเพิ่มขึ้น YoY (ECL ลดลง) เราคาดว่ากำไรปี 2568 จะเพิ่มขึ้น 6% โดยเกิดจากสินเชื่อที่เติบโต 2% NIM ที่แคบลง 10 bps credit cost ที่ลดลง 30 bps non-NII ที่ลดลง 2% (กำไร FVTPL ลดลง) และอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ที่สูงขึ้น
คงคำแนะนำ NEUTRAL และปรับราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้น เรายังคงคำแนะนำ NEUTRAL สำหรับ KBANK อย่างไรก็ดี เราปรับราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้นสู่ 160 บาท (อิงกับ PBV ปี 2568 ที่ 0.64 เท่า) เนื่องจากเราปรับ valuation เพิ่มขึ้นเล็กน้อย เพื่อสะท้อน ROE ที่สูงขึ้นจาก credit cost ที่ลดลงกลับสู่ระดับปกติในปี 2568
ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ: 1) ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์จากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว 2) การขยายสินเชื่อได้ช้ากว่าคาดเนื่องจากความต้องการสินเชื่อชะลอตัวและการแข่งขันสูง และ 3) ความเสี่ยงด้าน ESG จากความปลอดภัยทางไซเบอร์ และการให้บริการลูกค้าอย่างเป็นธรรม (market conduct)