หลังจากประชุมนักวิเคราะห์ เรายังคงคำแนะนำ NEUTRAL สำหรับ KTB แต่ปรับราคาเป้าหมาย (TP) เพิ่มขึ้นจาก 22 บาท เป็น 23 บาท เนื่องจากเราปรับประมาณการ credit cost ลดลง เพราะเห็นสัญญาณเชิงบวกมากขึ้นเกี่ยวกับคุณภาพสินทรัพย์ เราคาดการณ์เบื้องต้นว่ากำไร 4Q67 จะลดลง 21% QoQ (NIM ลดลง, opex สูงขึ้น) แต่จะเพิ่มขึ้น 44% YoY (ECL ลดลง) ขณะที่แรงกดดันจาก NIM ที่หดตัวลง ทำให้เราคาดว่ากำไรปี 2568 จะอยู่ในระดับที่ค่อนข้างทรงตัว
ปรับประมาณการ credit cost ปี 2567 ลดลง โดย credit cost จะอยู่ในระดับทรงตัว QoQ ใน 4Q67 KTB คาดว่า credit cost จะอยู่ในระดับทรงตัว QoQ ใน 4Q67 และคงเป้าหมายที่จะลด credit cost ลงจาก 1.43% ในปี 2566 มาอยู่ที่ 1.2-1.3% ในปี 2567 (เทียบกับ 1.26% ใน 9M67) เราปรับประมาณการ credit cost ลดลง 3 bps สู่ 1.27% สำหรับปี 2567 และ 5 bps สู่ 1.2% สำหรับปี 2568 KTB พบว่า NPL จากสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยไหลเข้าช้าลงใน 3Q67 เราคาดว่า credit cost จะลดลง 7 bps มาอยู่ที่ 1.2% ในปี 2568 เนื่องจาก KTB มี LLR coverage สูงถึง 179% ณ 3Q67 นอกจากนี้ยังมีโอกาสที่ KTB จะสามารถอัพเกรดสินเชื่อจำนวน 5.8 พันลบ. ที่ปล่อยให้กับ THAI จาก stage 3 เป็น stage 1 ในปี 2568 เนื่องจาก THAI อยู่ระหว่างการดำเนินการออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ การนำสินเชื่อที่ปล่อยให้กับ THAI ออกจากการเป็น NPL จะทำให้ NPL ของ KTB ลดลง 6% ซึ่งจะส่งผลทำให้อัตราส่วน NPL ลดลง 20 bps และหนุนให้ LLR coverage เพิ่มขึ้นขึ้นเป็น 189% จาก 179% ณ 3Q67 KTB มีความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่ำกว่าธนาคารอื่นๆ เนื่องจาก: 1) KTB มีสัดส่วนสินเชื่อภาครัฐที่มีความเสี่ยงเป็นศูนย์ที่ 16% สูงกว่าธนาคารอื่นๆ 2) KTB มีสัดส่วนสินเชื่อ SME ที่ 10% น้อยกว่าธนาคารอื่นๆ และ 3) สินเชื่อรายย่อยมากกว่า 90% ได้รับการค้ำประกันจากเงินเดือนของผู้กู้
คาดการเติบโตของสินเชื่อเพิ่มขึ้นใน 4Q67 แต่ไม่น่าจะถึงเป้าที่วางไว้ KTB เผชิญความท้าทายอย่างมากในการทำให้การเติบโตของสินเชื่อเป็นไปตามเป้าที่ธนาคารวางไว้ที่ 3% ในปี 2567 เทียบกับ -0.5% YTD ใน 9M67 ซึ่งได้รับแรงกดดันจากชำระคืนสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ค่อนข้างสูง KTB คาดว่าการเติบโตของสินเชื่อจะเร่งตัวขึ้นใน 4Q67 โดยได้แรงหนุนจากสินเชื่อภาครัฐ อย่างไรก็ตาม มีความเสี่ยงจากการชำระคืนก่อนกำหนดของสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ที่สามารถกู้ยืมเงินจากต่างประเทศได้ในต้นทุนที่ต่ำกว่า เราคงประมาณการการเติบโตของสินเชื่อในปี 2567 ไว้ที่ศูนย์ โดยคาดว่าจะมีการเติบโตของสินเชื่อจะเพิ่มขึ้น QoQ ใน 4Q67
NIM จะหดตัวลง KTB คาดว่า NIM จะหดตัวลง 10-15 bps QoQ ใน 4Q67 ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลดลง 12.5 bps ในเดือนต.ค. สำหรับปี 2567 KTB คาดว่า NIM จะอยู่ที่ราว 3.3% (+8 bps) ในปี 2567 ซึ่งสอดคล้องกับประมาณการของเรา เราคาด NIM หดตัวลง 16 bps ใน 2568 จากสมมติฐานการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 50 bps ใน 2H67 และ 50 bps ในปี 2568)
ปรับประมาณการกำไรเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เราปรับประมาณการกำไรของ KTB เพิ่มขึ้น 2% สำหรับปี 2567 และ 3% สำหรับปี 2568 เนื่องจากเราปรับประมาณการ credit cost ลดลง เราคาดการณ์เบื้องต้นว่ากำไร 4Q67 จะลดลง 21% QoQ (NIM ลดลง, opex สูงขึ้น) แต่จะเพิ่มขึ้น 44% YoY (ECL ลดลง) เราคาดว่ากำไรปี 2568 จะอยู่ในระดับที่ค่อนข้างทรงตัว โดยเกิดจากสินเชื่อที่เติบโต 2% NIM ที่หดตัวลง 16 bps (ใช้สมมติฐานการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 50 bps ใน 2H67 และ 50 bps ในปี 2568) credit cost ที่ลดลง 7 bps non-NII ในระดับทรงตัว และอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ที่ลดลงเนื่องจากขาดทุนจาก NPA น้อยลง
คงคำแนะนำ NEUTRAL แต่ปรับราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้น เรายังคงคำแนะนำ NEUTRAL สำหรับ KTB แต่ปรับราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้นจาก 22 บาท เป็น 23 บาท (อิงกับ PBV ปี 2568 ที่ 0.7 เท่า)
ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ: 1) ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์จากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวไม่ทั่วถึง 2) การเติบโตของสินเชื่อชะลอตัวลงเพราะความต้องการสินเชื่อต่ำและการแข่งขันสูง 3) การปรับลดอัตราดอกเบี้ย และ 4) ความเสี่ยงด้าน ESG จากการให้บริการลูกค้าอย่างเป็นธรรม (market conduct) และความปลอดภัยทางไซเบอร์