สรุปสาระสำคัญ
III มีกำไรปกติ 443 ลบ. หดตัว 19.7%YoY (แต่กำไรสุทธิลดลง 47%YoY จากปี 2566 มีรายการพิเศษสุทธิ 315 ลบ.) และจะพลิกโต 15%YoY ในปี 2568 จากฐานกำไรต่ำปีนี้
ก่อนไปคิดอะไร
- บริษัทมองผลการดำเนินงานช่วงที่เหลือปีนี้อย่างไร หลัง 3Q67 III มีกำไรสุทธิ 102 ลบ. หดตัว 36.4%YoY โดยแม้รายได้รวมจะเพิ่มขึ้น 60.5%YoY จากการเพิ่มขึ้นของรายได้จาก Air freight (+101%YoY), Logistic (+45%YoY) และ Chemical (+18%YoY) ตามปริมาณขนส่งและค่าระวางที่เพิ่มขึ้น ตามการเพิ่มขึ้นของปริมาณเที่ยวบิน, การขยายตัวของตลาดสินค้า E-Commerce, และการขยายตัวของการส่งออกสินค้าเคมีภัณฑ์ แต่ปัจจัยบวกถูกหักล้างด้วยอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงเป็น 15.8% จาก 26.2% ใน 3Q66 หลังมีการแข่งขันด้านราคาสูงขึ้นและได้รับผลกระทบจากบาทแข็งค่า อีกทั้งมีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบ.ร่วมที่ลดลงเหลือ 105 ลบ. จาก 137 ลบ. ใน 3Q66 หลักๆ จากการรับรู้ผลกำไรที่ลดลงของ ANI เพราะได้รับผลกระทบเงินบาทแข็งค่า
หลังไปได้อะไร
- ผู้บริหาร III คาด 4Q67 ผลการดำเนินงานจะเติบโตดีจากทุกกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจขนส่งสินค้าทางอากาศซึ่งเข้าสู่ High Season หนุนให้ค่าระวางและปริมาณการขนส่งเติบโตดี อีกทั้งคาดเห็น Synergy ชัดเจนขึ้นระหว่างบริษัทในกลุ่มหลังดำเนินการไปในช่วง 2Q-3Q67 อาทิ การขยายบริการขนส่งสินค้าทางอากาศสำหรับสินค้า E-Commerce, การเจรจาพันธมิตรเพื่อเพิ่มพื้นที่ระวางขนส่งสินค้าทางอากาศ และขยายการให้บริการขนส่งสินค้าทางอากาศเชื่อมต่อ 3 สนามบินหลักของประเทศด้วยรถบรรทุก (Airport Truck Link) ได้แก่ สุวรรณภูมิ ดอนเมือง และภูเก็ต โดยผสานความร่วมมือกับ AOTGA ส่วนการประมูลงานให้บริการภาคพื้นดิน (สำหรับบุคคลที่ 3) ที่สนามบินสุวรรณภูมิของ AOTGA คาดได้ข้อสรุปภายในปีนี้
ความเห็นและกลยุทธ์การลงทุน
- กำไรปกติ 9M67 คิดเป็น 69% ของประมาณการทั้งปี และเรายังคงประมาณการเดิม โดยคาด 4Q67 กำไรจะพลิกเติบโตทั้ง YoY (หลังหดตัว YoY ติดต่อสี่ไตรมาส) และ QoQ ปัจจัยขับเคลื่อนจากฐานกำไรที่ต่ำปีก่อน, การเข้าสู่ High Season และการเริ่มเก็บเกี่ยวผลลงทุนจากการขยายธุรกิจต่อเนื่อง อาทิ AOTGA จะรับรู้รายได้เต็มไตรมาสครั้งแรกจากคลังสินค้าที่สนามบินสุวรรณภูมิ (พื้นที่ 5 พันตร.ม. เปิด 1 ส.ค.) ซึ่งปัจจุบันมีอัตราใช้พื้นที่แล้ว 60% อีกทั้งคาดส่วนแบ่งกำไรในบ.ร่วมฯ จะปรับตัวดีขึ้น หลัง ANI มีแผนเพิ่มกำลังให้บริการและขยายตลาดใหม่ๆ นอกจากนี้การอ่อนค่าของเงินบาทตั้งแต่ ต.ค. มองจะช่วยหนุนอัตรากำไรขั้นต้นและส่วนแบ่งกำไรจาก ANI ดีขึ้นเราจึงคงคาดปี 2567 III จะมีกำไรปกติ 443 ลบ. หดตัว 19.7%YoY (แต่กำไรสุทธิลดลง 47%YoY จากปี 2566 มีรายการพิเศษสุทธิ 315 ลบ.) และจะพลิกโต 15%YoY ในปี 2568 จากฐานกำไรต่ำปีนี้
- เราประเมินราคาเป้าหมายปี 2568 อยู่ที่หุ้นละ 6.30 บาท (อิง PER -1SD ที่ 10x จากค่าเฉลี่ยย้อนหลังล่าสุด 3 ปีเช่นเดิม) ซึ่งใกล้เคียงกับราคาหุ้นปัจจุบัน จึงมองยังไม่จูงใจลงทุน อีกทั้งช่วงสั้นมองราคาหุ้นยังขาดปัจจัยกระตุ้น เนื่องจากปี 2567 กำไรปกติที่ยังหดตัว YoY และมีความเสี่ยงที่ต้องติดตามจากนโยบายของทรัมป์เกี่ยวกับการขึ้นภาษีสินค้านำเข้า ซึ่งอาจกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศ ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงคงคำแนะนำเพียง "Neutral" เพื่อรับปันผลและรอปัจจัยหนุนใหม่ โดยคาดมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรปี 2567 หุ้นละ 0.29 บาท คิดเป็น Div. Yield ปีละ 4.6%
- ความเสี่ยงสำคัญ คือ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก, ความผันผวนของค่าระวาง, ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐ-จีน ส่วนความเสี่ยงด้าน ESG ที่สำคัญ คือ ส่วนความเสี่ยงด้าน ESG ที่สำคัญ คือ การบริหารจัดการพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อม (E) และการจัดการด้านความปลอดภัย (S)