PDF Available  
Offshore Stock Update

Offshore Stock Update – US Healthcare Affected by Tariffs

By สิทธิชัย ดวงรัตนฉายา|10 Apr 25 11:17 AM
สรุปสาระสำคัญ

Investment Thesis

ในระยะสั้น กลุ่มผู้ผลิตยายังมีความเสี่ยงหลังทรัมป์เตรียมประกาศมาตรการภาษีที่เกี่ยวข้องกับยาเร็วๆนี้ ทำให้ในภาพรวมเรายังแนะระมัดระวังกลุ่ม Pharma และแนะมองกลุ่ม Healthcare Service ที่มีสัดส่วนรายได้ภายใน US Domestic ซึ่งทำให้ผลกระทบจากภาษีนำเข้าดูจำกัดกว่ากลุ่มอื่น โดยเราชอบ CVS UNH รวมถึงมอง HCA และ Humana มีความ

สถานการณ์ล่าสุดที่เกี่ยวข้องกับกลุ่ม Healthcare

  • Trump เผยในวันอังคารที่ 8 เม.ย. ว่าเตรียมประกาศภาษีศุลกากรครั้งใหญ่สำหรับยาในเร็วๆ นี้ โดยไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับภาษีที่วางแผนไว้ นอกจากนี้เผยว่าหากมีการเก็บภาษียา หลายประเทศจะหันมาเจรจากับสหรัฐฯเนื่องจากสหรัฐฯเป็นตลาดใหญ่ ขณะที่ในช่วงก่อนหน้านี้ ยาเป็นสินค้าที่ได้รับการยกเว้นการเก็บภาษีจาก Reciprocal Tariff
  • ด้านบริษัทยาขนาดใหญ่กำลังล็อบบี้กับสหรัฐฯเพื่อขอให้มีการทยอยปรับขึ้นภาษีนำเข้าแทนการปรับทันที เพื่อให้มีเวลาในการปรับเปลี่ยนการผลิต
  • นอกจากนี้ รัฐบาลทรัมป์ปรับเปลี่ยนกฎระเบียบใน Medicare Advantage โดยมี 2 ประเด็นสำคัญ ได้แก่
  1. เพิ่มการจ่ายเงินให้ Medicare Advantage: รัฐบาลสหรัฐฯ จะจ่ายเงินให้กับแผน Medicare เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 5.06% อยู่ที่อย่างน้อย $25bn ซึ่งมากกว่าสองเท่าของอัตราที่รัฐบาลเดิมเสนอไว้ในเดือนม.ค. โดยภาพนี้จะทำให้กลุ่ม Healthcare Insurance อย่าง UNH CVS Humana ได้ประโยชน์หลังจะช่วยเยียวยาแรงกดดันจากค่าใช้จ่ายด้านการแพทย์ที่เพิ่มขึ้น
  2. ปรับแผน Medicare ให้ไม่ครอบคลุมกลุ่มยาลดความอ้วน โดยไม่ครอบคลุมกรณีการใช้เพื่อลดน้ำหนักโดยตรง แต่ยังครอบคลุมยาที่ใช้ในโรคเบาหวานหรือปัญหาหัวใจ หลังหากครอบคลุมยาลดน้ำหนัก จะทำให้สหรัฐฯมีค่าใช้จ่ายสูงถึง $35bn ใน 9 ปี ซึ่งภาพนี้ทำให้รายได้ของกลุ่มยา GLP1 อย่าง LLY (Zepbound) และ NVO (Wegovy) จากทางการหายไป

 

 

มุมมองต่อนโยบายภาษีของทรัมป์

  • เราประเมินว่ากลุ่มผู้ผลิตยา (Pharma) ยังคงมีความเสี่ยงการถูกเก็บภาษี แต่ไม่สามารถประเมินผลกระทบได้แน่ชัดเนื่องจากความซับซ้อนของห่วงโซ่อุปทานและข้อตกลงด้านราคาโอน นอกจากนี้ ความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับ FDA และผลกระทบต่อกระบวนการอนุมัติยายังคงเป็นประเด็นที่น่ากังวลในกลุ่มผู้ผลิตยาเช่นกัน
  • ผลกระทบในภาพรวม เรามองการขึ้นภาษีนี้จะทำให้เกิดการขาดแคลนยาและลดการเข้าถึงยาของผู้ป่วยได้ เนื่องจาก 1) การย้ายฐานการผลิตยามายังสหรัฐฯ ใช้เวลา 5-10 ปี และเงินลงทุนราว $2bn เนื่องจากข้อกำหนดด้านกฎระเบียบ 2) สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์ยาที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีการนำเข้ามากกว่า 176 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023
  • ผลกระทบต่อกลุ่มบริษัทยา เรามองว่า 1) บริษัทจากไอร์แลนด์ เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ อินเดีย และจีน ได้รับผลกระทบจากภาพนี้หลังเป็นประเทศที่ส่งออกยามายังสหรัฐฯ เป็นจำนวนมาก 2) มองบริษัทจากยุโรปมีความเสี่ยงมาก หากพิจารณาสัดส่วนรายได้ของบริษัทยาในยุโรปจะพบว่ามีสัดส่วนรายได้จากสหรัฐมากกว่า 25% ของรายได้รวม โดยบริษัท Novo Nordisk, GSK, Sanofi และ Roche มีรายได้จากตลาดสหรัฐมากกว่า 49% ของรายได้รวม 3) ในฝั่งจีน เราคาดว่าข้อตกลงการอนุญาตให้ใช้สิทธิ (licensing) กับบริษัทจีนอาจได้รับผลกระทบจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่กำลังดำเนินอยู่ รวมถึงมองส่งผลกระทบต่อกำไรของกลุ่มลดลงราว 33% เช่น Sinopharm, WuXi AppTec, Shanghai Pharmaceuticals 4) บริษัทที่มียอดขายในสหรัฐฯสูงสุดคือ AbbVie (72%) Bristol Myers (71%) Eli Lilly (67%) 5) บริษัทที่มีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำกว่า เช่น Bristol-Myers Squibb, Pfizer และ Sanofi อาจเผชิญกับผลกระทบต่อกำไรที่มากกว่า ผู้ผลิตวัคซีนจะได้รับผลกระทบมากกว่าเพราะฐานการผลิตส่วนใหญ่อยู่นอกสหรัฐ

 

Author
Slide4
สิทธิชัย ดวงรัตนฉายา

นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ

Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5