ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังความกังวลด้านภาษีผ่อนคลายลงเนื่องจากทรัมป์มีแผนจะเรียกเก็บภาษีเป็นรายภาคอุตสาหกรรมมากกว่าที่จะบังคับใช้เป็นวงกว้าง ซึ่งในส่วนภาษีนำเข้ารถยนต์และเซมิคอนดักเตอร์นั้นมีแนวโน้มว่าจะยังไม่ประกาศใช้ในวันดังกล่าว ขณะที่การเก็บ reciprocal tariffs จะใช้เฉพาะกับประเทศคู่ค้าหลัก เช่น สหภาพยุโรป เม็กซิโก จีน และจะไม่ครอบคลุมทุกประเทศ
บทสรุป
กระแสเงินในวันที่ 21 มี.ค. 2025 พบว่า 1) กระแสเงินในตราสารหนี้ผันผวน มีแรงซื้อลดน้อยลง 2) กระแสเงินในตลาดหุ้นจีนมีความผันผวน มีแรงซื้อจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ดีขึ้นอย่างช้าๆ 3) มีแรงซื้อในตลาดยุโรปจากแนวโน้มลดดอกเบี้ยของ ECB 4) กระแสเงินในกลุ่มเทคโนโลยีผันผวน มีแรงขายในภาพรวมแต่เริ่มเห็นแรงเก็งกำไรในกลุ่ม Semiconductor 5) มีแรงขายในกลุ่มที่อิงกับเศรษฐกิจอย่าง สินค้าอุตสาหกรรม การเงินและ Materials รวมถึงหุ้นขนาดเล็ก 6) มีแรงซื้อในโลหะมีค่ามองเป็นเรื่องการลดความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก
ในช่วงที่ผ่านมา ดัชนี S&P 500 ลดลง 10% ภายใน 16 วันทำการ ซึ่งหากเทียบเคียงรูปแบบการปรับตัวของดัชนี S&P500 เฉลี่ยในอดีต เราประเมินได้ 2 รูปแบบ 1) Best-case: ดัชนี S&P 500 จะเข้าสู่ช่วงของการปรับฐาน 2) Worst-case การปรับฐานสู่ตลาด bear market แต่หากประเมินรวมกับปัจจัยพื้นฐานและแนวโน้มของ S&P ยังคงดี ซึ่งถือได้ว่าห่างไกลจากสถานการณ์ Bear market รวมถึงทำให้มองได้ว่าดัชนี S&P500 มีแนวโน้มฟื้นในระยะถัดไป
Boeing ต้องการถอนข้อตกลงที่ทำไว้กับกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) ซึ่งภายใต้ข้อตกลงนี้ Boeing จะต้องยอมรับผิดในข้อหาสมรู้ร่วมคิดทางอาญา อย่างไรก็ดีมองว่า 1) หาก Boeing ถูกตัดสินว่ามีความผิด อาจส่งผลกระทบทางการเงิน 2) ราคาหุ้นมีแนวโน้มผันผวน ขณะที่ระยะสั้น สำหรับใครที่รับความเสี่ยงได้ เรามองว่าเก็งกำไรสั้นได้ ระยะกลาง เรามองว่า Airbus มีปัจจัยพื้นฐานที่ดูดีกว่า
BYD เผย 4Q24 ดีกว่าที่คาด โดยรายได้เพิ่มขึ้น 52.7% กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นถึง 73.1% ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดใหม่ดีกว่าคาด สวนทาง NIO รายงานผลขาดทุนในปี 2024 มากกว่าคาดการณ์ จากภาพรวมนี้ทำให้เห็นภาพว่าผู้ผลิตรายใหญ่ยังคงมีความเสี่ยงที่น้อยกว่ารายเล็ก โดยเราแนะ BYD ที่มีความสามารถในการแข่งขันและเติบโต
Meituan รายได้โตดีจากธุรกิจส่งอาหาร แต่กำไรต่ำกว่าที่คาด รวมถึงกำลังขยายธุรกิจไปยังตลาดต่างประเทศ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการชะลอตัวของธุรกิจในประเทศ ซึ่งปัจจุบันมุ่งเน้นที่แอพ Keeta นอกจากนี้ Meituan ประกาศกำลังทุ่มเงิน "หลายพันล้าน" เพื่อลงทุนในชิปที่ใช้ในการฝึกฝนโมเดล AI ประเมินรายได้และกำไรจากธุรกิจหลักมีแนวโน้มเติบโตจากมาตรการ ราคาที่ลงมาแนะเป็นจังหวะซื้อ
เราประเมินว่าตลาดยังคงมีความผันผวนจากความเสี่ยงเศรษฐกิจและสงครามการค้า อย่างไรก็ดีภาพนโยบายทรัมป์ที่มีผลกระทบจำกัดและ Target ที่ชัดเจนช่วยผ่อนคลายความกังวลตลาดในระยะส้นได้ นอกจากนี้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ดีกว่าคาดยังเป็นปัจจัยสนับสนุนตลาดได้ ในภาพรวมเรายังแนะ 1) เราแนะมอง MSFT (506 HKD) ที่ปัจจัยพื้นฐานแกร่งและราคาย่อตัวลงมาอยู่ในระดับน่าสะสม 2) Haier Smart Home (36 HKD) ที่คาดว่างบ 4Q24 ดีและมีแนวโน้มดีใน FY25 ดีหลังยังมีแรงหนุนจากนโยบายสนับสนุนของทางการจีน