Macro Making Sense 2
PDF Available  
Macro Making Sense

Macro Making Sense – 8 พ.ย. 2567

By ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์|8 Nov 24 8:36 AM
สรุปสาระสำคัญ
  • จากข้อมูลในอดีตพบว่า ตลาดหุ้นโลกมักโอกาสให้ผลตอบแทนเป็นบวกในช่วงหลังการเลือกตั้ง ปธน. สหรัฐ โดย SET Index และ S&P500  ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 9.7% และ 8.5% ในช่วง 3 เดือนหลังวันเลือกตั้ง

  • กลยุทธ์ลงทุนในตลาดหุ้นไทย : เรามองตลาดหุ้นไทยจะได้อานิสงส์บวกจากเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาในภูมิภาคเอเชียหลังการเลือกตั้งสหรัฐ โดยหากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งมองนโยบายด้านกำแพงภาษีสินค้านำเข้า โดยเฉพาะจากจีน จะทำให้มีการย้ายฐานการผลิตและเงินทุนจากจีนมาไทยมากขึ้น เป็นบวกต่อกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมและอิเล็กทรอนิกส์ แนะนำ AMATA WHA DELTA HANA KCE

  • กลยุทธ์ลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ : เชิงกลยุทธ์แนะนำลงทุนสำหรับหุ้นกลุ่มธนาคาร เลือก JPM, BAC และกลุ่มบจ. ที่มีอัตราจ่ายภาษีสูง เลือก HD, V, COST,  WMT และกลุ่มพลังงาน เลือก XOM, OXY รวมไปถึงเก็งกำไรในหุ้น TSLA ที่อิลอน มักส์ อาจเป็นรัฐมนตรี ขณะที่ระมัดระวังความผันผวนในกลุ่มยาและเทคโนโลยี

บทสรุปผลการประชุม FOMC และผลกระทบของการกลับมาของทรัมป์


1. สถานการณ์ปัจจุบัน

  • Fed ลดดอกเบี้ย 0.25% มาที่ 4.5-4.75%
  • เงินเฟ้อหลัก (Core PCE) คงที่ที่ 2.7% และ CPI อยู่ที่ 2.4%
    ดอกเบี้ยจำนอง 30 ปีกลับเพิ่มขึ้นจาก 6.1% เป็น 6.8% แม้ Fed ลดดอกเบี้ย

2. มุมมองของเราต่อการประชุมธันวาคม

  • คาดว่า Fed จะลดดอกเบี้ยต่อ (CME ให้โอกาส 74%)
  • ต้องจับตา 3 ปัจจัย: เงินเฟ้อ, การจ้างงาน, และสภาพคล่อง
  • ปรับคาดการณ์การลดดอกเบี้ยปี 2025 เหลือ 4 ครั้ง (จากเดิม 6 ครั้ง)

3. ผลกระทบจากชัยชนะของทรัมป์

  • นโยบายสำคัญ (สงครามการค้า, ลดภาษี) น่าจะเริ่มในปี 2026
  • IMF คาดว่า การกีดกันทางเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐมากกว่าที่อื่น โดยทำให้เศรษฐกิจสหรัฐชะลอแรงที่ -0.4% ในปี 2025 และ -0.6% ในปี 2026 ขณะที่จีน ยุโรป และไทย จะชะลอลง แต่ได้รับผลน้อยกว่าสหรัฐ ขณะที่คาดเงินเฟ้อสหรัฐจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.2% จากกรณีฐานในปี 2026
  • ภาพดังกล่าว ทำให้ไม่น่ากระทบแผนลดดอกเบี้ยของ Fed มากนัก

 

เรามองว่า ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐระยะยาวไม่น่าจะปรับตัวได้สูงขึ้นกว่านี้อีกมากนัก (โดยพันธบัตร 10 ปีอาจอยู่ที่ 4.5% ก่อนลดลง) ขณะที่ผลตอบแทนระยะสั้นจะลดลงตามดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งจะทำให้เส้นผลตอบแทนชันขึ้น และ

 

เรามองว่าเงินบาทน่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปัจจุบัน โดยเฉลี่ยที่ 35.6 บาทต่อดอลลาร์ในปีหน้า ใกล้เคียงปีนี้ที่ 35.1 บาทต่อดอลลาร์

 

เรามองตลาดหุ้นไทยจะได้อานิสงส์บวกจากเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาในภูมิภาคเอเชียหลังการเลือกตั้งสหรัฐ โดยหากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งมองนโยบายด้านกำแพงภาษีสินค้านำเข้า โดยเฉพาะจากจีน จะทำให้มีการย้ายฐานการผลิตและเงินทุนจากจีนมาไทยมากขึ้น เป็นบวกต่อกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมและอิเล็กทรอนิกส์ แนะนำ AMATA WHA DELTA HANA KCE ส่วนนโยบายการลดภาษีนิติบุคคลและบุคคลธรรมดาจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อ เป็นบวกต่อกลุ่มเกษตรและอาหาร รวมทั้งกลุ่มท่องเที่ยว แนะนำ CPF TU AOT MINT ซึ่งจะเห็นได้ว่าหุ้นส่วนใหญ่ที่ได้ผลบวกจากนโยบายข้างต้นยังได้ประโยชน์จากดอลลาร์แข็งค่าด้วย อย่างไรก็ดี อาจจะต้องระมัดระวังแรงขายในตลาดหุ้น EM กรณีสหรัฐมีการปรับขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน

 

กลยุทธ์ลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ : เรามองผลกระทบระยะสั้นมีจำกัดจากสงครามการค้าและสงครามเทคโนโลยี โดยคาดดัชนีและราคาหุ้นส่วนใหญ่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น จากนโยบายลดภาษีและลดเงื่อนไขการทำธุรกิจของกลุ่มธนาคาร อย่างไรก็ดี มองผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังมีจำกัดจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนและห้ามการส่งออกชิปไปยังจีน ทั้งนี้เชิงกลยุทธ์แนะนำลงทุนสำหรับหุ้นกลุ่มธนาคาร เลือก JPM, BAC และกลุ่มบจ. ที่มีอัตราจ่ายภาษีสูง เลือก HD, V, COST, WMT และกลุ่มพลังงาน เลือก XOM, OXY รวมไปถึงเก็งกำไรในหุ้น TSLA ที่อิลอน มักส์ อาจเป็นรัฐมนตรี ขณะที่ระมัดระวังความผันผวนในกลุ่มยาและเทคโนโลยี

 

Author
Slide3
ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์

หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ

Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5