Macro Making Sense 2
PDF Available  
Macro Making Sense

Macro Making Sense – 24 มี.ค. 2568

By ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์|24 Mar 25 8:59 AM
สรุปสาระสำคัญ

สรุปส่งออกไทยเดือน ก.พ. สงครามการค้าสหรัฐฯ และผลกระทบต่อตลาดทุนสหรัฐและไทย ภาษีศุลกากรของทรัมป์กับการลงทุนทางตรงในสหรัฐฯ และคำแนะนำบริษัทไทย

การส่งออกไทยในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ขยายตัว 14.0% มูลค่า 2.671 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้มาก แต่การเติบโตนี้ส่วนใหญ่มาจากปัจจัยชั่วคราว โดยเฉพาะการส่งออกทองคำและโลหะมีค่าไปอินเดียที่พุ่งสูงถึง 4,160% และการเร่งส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ (คอมพิวเตอร์เพิ่มขึ้น 51.3%) ไปยังสหรัฐฯ ก่อนมาตรการกีดกันทางการค้าของทรัมป์จะมีผลบังคับใช้ ขณะที่กลุ่มที่น่ากังวลคืออุปกรณ์กึ่งตัวนำที่หดตัวแรงถึง 46.1% ต่อเนื่อง 12 เดือน และสินค้าเกษตรที่ยังหดตัว 1.6% โดยเฉพาะข้าวที่หดตัว 34.3%

 

ด้านการนำเข้าขยายตัวชะลอลงที่ 4.0% มูลค่า 2.472 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ มีสัญญาณน่ากังวลจากการหดตัวของสินค้าทุน (-11.8%) สะท้อนความไม่มั่นใจของภาคเอกชนต่อเศรษฐกิจ และการนำเข้าแผงวงจรไฟฟ้าหดตัว 4.6% บ่งชี้ว่าการส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ที่เติบโตสูงอาจเป็นเพียงการระบายสินค้าคงคลังมากกว่าการเพิ่มกำลังการผลิต ในระยะถัดไป การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์อาจเติบโตได้อีก 1-2 เดือนตามแนวโน้มของเอเชีย NICS แต่คาดว่าจะเริ่มหดตัวรุนแรงหลังไตรมาส 2 เนื่องจากผลกระทบจากสงครามการค้าที่รุนแรงขึ้น ขณะที่การนำเข้ามีแนวโน้มชะลอตัวลงจากการชะลอการลงทุนและความเสี่ยงจากการทุ่มตลาดสินค้าจากจีน

สงครามการค้าสหรัฐฯ และผลกระทบต่อตลาดทุน ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กำลังเผชิญความท้าทายหลังจากร่วงลง 8% จากจุดสูงสุดในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 โดยรัฐบาลทรัมป์แสดงท่าทีเฉยเมยต่อการปรับฐาน ขณะที่ The Economist เตือนว่าครัวเรือนอเมริกันถือครองหุ้นในระดับสูงเป็นประวัติการณ์ (170% ของรายได้) ซึ่งหากตลาดปรับฐานต่อเนื่องจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อการบริโภค ความเสี่ยงสำคัญได้แก่เงินเฟ้อที่ยังสูง นโยบาย American First และภาษีศุลกากรที่อาจกระตุ้นเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น รวมถึงการแบ่งขั้วทางการเมืองที่ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคคาดการณ์ได้ยาก

ในส่วนของตลาดหุ้นไทยที่มีผลการดำเนินงานแย่ติดต่อกัน 3 ปี เริ่มมีบางสำนักวิจัยเช่น UBS และ J.P. Morgan ปรับมุมมองเป็นเชิงบวกมากขึ้น โดยมองว่าแรงกดดันได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ขณะที่ระดับ Valuation ปรับลงมาใกล้จุดต่ำสุดช่วงโควิด นอกจากนี้มีปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย (โดยหลายสำนักวิจัยคาดการณ์ BoT จะลดดอกเบี้ยอีก 3 ครั้งในปีนี้) มาตรการภาษีสำหรับกองทุน ESG ที่จะช่วยดึงเม็ดเงินเข้าตลาดทุน และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน อย่างไรก็ตามยังมีความเสี่ยงจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งอาจกระทบการส่งออกของไทย รวมถึงปัจจัยฤดูกาลท่องเที่ยวและการจ่ายเงินปันผลที่อาจกดดันในระยะสั้น

 

ภาษีศุลกากรของทรัมป์กับการลงทุนทางตรงในสหรัฐฯ นโยบายภาษีศุลกากรของทรัมป์สร้างแรงกดดันให้บริษัทต่างชาติต้องพิจารณาย้ายฐานการผลิตเข้าสหรัฐฯ มากขึ้น สะท้อนจากการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 2.31 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2567 กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงสุดได้แก่ผู้ผลิตยา อิเล็กทรอนิกส์ สินค้าฟุ่มเฟือย และผู้ผลิตรถยนต์ โดยบริษัทต่างๆ มีการปรับตัวแตกต่างกันไป บางรายเลือกเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ เช่น TSMC ที่เพิ่มการลงทุนจาก 6 หมื่นล้านเป็น 1.65 แสนล้านดอลลาร์ หรือบริษัทรถยนต์หลายแห่งที่ขยายการผลิตในสหรัฐฯ ขณะที่บริษัทจีนเลือกลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ โดยหันไปเน้นประเทศกำลังพัฒนามากขึ้น

 

สำหรับบริษัทไทย เรามองว่า ควรประเมินความเสี่ยงจากนโยบายภาษีของทรัมป์โดยเฉพาะในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งมีทางเลือกหลายประการ ได้แก่ 1) การพิจารณาลงทุนโดยตรงในสหรัฐฯ หากมีศักยภาพเพียงพอ 2) การกระจายความเสี่ยงโดยขยายตลาดไปยังภูมิภาคอื่นๆ 3) การปรับปรุงห่วงโซ่อุปทานเพื่อรองรับความไม่แน่นอนทางการค้า และ 4) การหาพันธมิตรทางธุรกิจในสหรัฐฯ เพื่อช่วยในการผลิตหรือจัดจำหน่ายสินค้า ในยุคที่นโยบายการค้าโลกมีความไม่แน่นอนสูง บริษัทที่มีแผนรับมือที่ดีและปรับตัวได้รวดเร็วจะสามารถเปลี่ยนความท้าทายให้เป็นโอกาสทางธุรกิจได้

 

Author
Slide3
ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์

หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ

Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5