PDF Available  
Macro Making Sense

เปรียบเทียบแผนปฏิรูปภาษีของรัฐบาลก่อนเทียบกับปัจจุบัน

By ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์|24 Nov 25 7:11 AM
สรุปสาระสำคัญ

สรุปประเด็น เปรียบเทียบแผนปฏิรูปภาษีไทย Fed ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยได้อีก ญี่ปุ่นอนุมัติแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.35 แสนล้านดอลลาร์

  • การปฏิรูปภาษีไทย: เปรียบเทียบแผนรัฐบาลก่อนและรัฐบาลปัจจุบัน การปฏิรูปภาษีไทยมีสองแผนหลักที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยแผนของรัฐบาลก่อน (รมว.พิชัย) ใช้สูตร "15-15-15" ประกอบด้วยการขึ้น VAT จาก 7% เป็น 15% (+8%) ลดภาษีนิติบุคคล (CIT) จาก 20% เป็น 15% และปรับภาษีบุคคลธรรมดา (PIT) จากขั้นบันได (5-35%) เป็นอัตราเดียว 15% แต่ไม่ระบุกรอบเวลาและวิธีการที่ชัดเจน โดยเราคำนวณว่า หากขึ้น VAT ทั้ง 8% ทันที จะเพิ่มรายได้รัฐสุทธิถึง 836,000 ล้านบาทและทำให้การคลังเกินดุลได้ แต่จะทำให้เศรษฐกิจหดตัว 2.4% การบริโภคหดตัว 4.0% และเงินเฟ้อพุ่ง 2.8% ในทางตรงกันข้าม แผนของรัฐบาลปัจจุบัน (รมว.เอกนิติ) ทยอยยกเลิกการลด VAT 1.5% ในปี 2571 (เป็น 8.5%) และอีก 1.5% ในปี 2573 (เป็น 10%) พร้อมมาตรการบรรเทาผลกระทบ ซึ่งคาดว่าจะทำให้ GDP หดตัวรวม 0.9% การบริโภคหดตัว 1.5% และเงินเฟ้อเพิ่ม 1.0-1.1% เท่านั้น ขณะที่เพิ่มรายได้รัฐเฉลี่ย 140,000 ล้านบาทต่อปี แผนนี้มีเป้าหมายลดการขาดดุลการคลังจาก 4.4% ของ GDP ในปี 2569 สู่ไม่เกิน 3.0% ภายในปี 2572 และรักษาหนี้สาธารณะไว้ไม่เกิน 70% ของ GDP พร้อมมาตรการปฏิรูปภาษีอื่นๆ เราวิเคราะห์ว่าแม้แผนของรัฐบาลก่อนอาจแก้ปัญหาการคลังได้รวดเร็วและสร้างประสิทธิภาพระบบเศรษฐกิจ จากการเพิ่มภาษีฐานการบริโภคแต่ลดภาษีฐานรายได้ แต่แผนของรัฐบาลปัจจุบันมีความเป็นรูปธรรม และกระทบเศรษฐกิจน้อยกว่ามาก หากดำเนินการอย่างจริงจังพร้อมมาตรการบรรเทาผลกระทบที่เหมาะสมและพิจารณาการลงทุน PPP เพื่อสร้าง New engine of growth การปฏิรูปภาษีครั้งนี้จะนำไปสู่ความยั่งยืนทางการคลังและความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาวโดยไม่กระทบเศรษฐกิจและประชาชนรุนแรงเกินไป
  • Fed ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยได้อีกหลังตลาดแรงงานเริ่มชะลอ John Williams ประธาน Fed Bank of New York ส่งสัญญาณว่ายังมีโอกาสลดดอกเบี้ยอีกครั้งในระยะใกล้เนื่องจากความเสี่ยงด้านลบต่อการจ้างงานเพิ่มขึ้นและความเสี่ยงด้านบนของเงินเฟ้อลดลง ทำให้ตลาดปรับความน่าจะเป็นของการลดดอกเบี้ยในการประชุม 10 ธันวาคมจาก 35% เป็น 71% ทันที โดย Williams ซึ่งเป็นพันธมิตรสนิทของ Powell ระบุว่านโยบายการเงินปัจจุบันยังคงกดดันเศรษฐกิจเล็กน้อยและเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องโดยไม่มีผลกระทบรอบสองจากภาษีนำเข้า แม้ภาษีนำเข้าจะผลักดันเงินเฟ้อขึ้น 0.50-0.75% และคาดว่าจะกลับสู่เป้าหมาย 2% ในปี 2027
  • การออกมาพูดของ Williams ในจังหวะที่ Powell ไม่มีกำหนดปราศรัยก่อนการประชุมถือเป็นการส่งข้อความจากผู้นำ Fed ว่าการลดดอกเบี้ยยังเป็นไปได้ แม้จะมีเสียงคัดค้านจาก Susan Collins, Lorie Logan และนายธนาคาร Fed ภูมิภาคหลายคนที่กังวลเรื่องเงินเฟ้อที่ยัง 3% และความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ตกต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
  • เราวิเคราะห์ว่า Fed จะลดดอกเบี้ยอีก 25 bps สู่ 3.50-3.75% ในธันวาคมนี้ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากตลาดแรงงานที่อ่อนตัวต่อเนื่อง (JOLT ลดลงสู่ 7.23 ล้านตำแหน่ง อัตราว่างงานพุ่ง 4.4% ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานเพิ่ม 1.97 ล้านราย) Government Shutdown ที่อาจกระทบการจ้างงานเพิ่มเติม และค่าใช้จ่ายที่อยู่อาศัยที่ยังลดลง ทำให้เงินเฟ้อไม่ขึ้นมากนัก อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่แท้จริงอยู่ที่การดำเนินนโยบายในปี 2026 ท่ามกลางความแตกแยกภายใน FOMC ที่อาจนำไปสู่การลงคะแนนไม่เห็นด้วย 3-4 เสียง และเมื่อ Trump แต่งตั้งประธาน Fed คนใหม่ในพฤษภาคม อาจนำไปสู่ยุคการตัดสินใจด้วยเสียงข้างมากเพียงเล็กน้อย (7-5 votes) และการที่ฝ่ายการเมืองเข้ามามีอิทธิพลมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้ความเป็นอิสระของ Fed ลดลง
  • ญี่ปุ่นอนุมัติแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.35 แสนล้านดอลลาร์ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น Sanae Takaichi อนุมัติแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 21.3 ล้านล้านเยน (1.35 แสนล้านดอลลาร์) ซึ่งเป็นแพ็กเกจที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ยุคโควิด-19 เพื่อบรรเทาภาระเงินเฟ้อที่อยู่เหนือเป้าหมาย 2% ของ BoJ มานานกว่า 3 ปีครึ่ง โดยครอบคลุมการอุดหนุนค่าสาธารณูปโภค การลดภาษีน้ำมัน การยกเว้นภาษีเงินได้ และเงินสดแจกให้เด็ก ซึ่งคาดว่าจะช่วยดึงเงินเฟ้อลง 0.7% และยก GDP เฉลี่ย 1.4% ต่อปีเป็นเวลา 3 ปี แพ็กเกจนี้สะท้อนความท้าทายของรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่ต้องสร้างสมดุลระหว่างการตอบสนองความต้องการของประชาชนและการรักษาวินัยทางการคลัง ท่ามกลางความกังวลของตลาดต่อหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นซึ่งผลักดันให้ผลตอบแทน JGB 10 ปีพุ่งขึ้นกว่า 70 bps นับตั้งแต่ต้นปี 2025 และเยนอ่อนค่าผ่าน 157 ต่อดอลลาร์ (ระดับอ่อนสุดนับตั้งแต่มกราคม) สร้างกระแส "Sell Japan" แม้รัฐบาลจะเน้นย้ำว่าการออกตราสารหนี้ทั้งปียังต่ำกว่าปีที่แล้วและนักวิเคราะห์จาก S&P และ Fitch มองว่าไม่น่าจะกระทบอันดับเครดิต แต่การใช้จ่ายครั้งนี้จะส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินของภาครัฐและเอกชนญี่ปุ่นสูงขึ้นและอาจกดดันเศรษฐกิจในระยะต่อไป
Author
Slide3
ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์

หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ

Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5