สินทรัพย์ดิจิทัลในสัปดาห์นี้เริ่มฟื้นตัว โดย Bitcoin ยืนเหนือ $93,000 และ Ethereum ยืนเหนือ $3,000 ได้โดยไม่มีการทำจุดต่ำสุดใหม่ ขณะที่มูลค่าตลาดคริปโทโดยรวมเพิ่มขึ้น 10% แตะประมาณ $3.12 ล้านล้าน ซึ่งเป็นการฟื้นตัวแรงที่สุดในรอบสองสัปดาห์ กระแสเงินทุนไหลเข้ายังผสมผสาน โดย Spot Bitcoin ETF มียอดไหลเข้าเล็กน้อยที่ +$8.48 ล้าน สวนทาง Spot Ethereum ETF ที่ไหลออก -$79.06 ล้าน
ดัชนี Crypto Fear & Greed ปรับขึ้นจาก 14 สู่ 22 สอดคล้องกับราคา Bitcoin ที่ฟื้นจากจุดต่ำสุดราว $83,000 ขึ้นมายืนใกล้ $93,000 สะท้อนว่าความกลัวในตลาดเริ่มผ่อนคลาย ซึ่งในอดีตมักนำไปสู่แรงรีบาวด์ระยะสั้น ข้อมูล On-chain ยังชี้ว่า นักลงทุนที่ถือ Bitcoin ระยะสั้น (1-3 เดือน) กำลังขายขาดทุน โดยขาดทุนเฉลี่ย -25% ซึ่งมักนำไปสู่การ Rebound ของราคา เมื่ออิงจากสถิติย้อนหลัง ไม่ว่าตลาดจะเลือกทิศทางเป็นขาขึ้นต่อเนื่องหรือเข้าสู่แนวโน้มขาลง ราคาของ Bitcoin มักมีโอกาสรีบาวด์กลับไปทดสอบเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันก่อนเสมอ หรือที่ราคาราว $100,000 สำหรับรอบนี้
สำหรับสัปดาห์หน้าตลาดยังมีโอกาสฟื้นตัวต่อเนื่อง จากความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยครั้งที่ 3 ของเฟดในปีนี้ ซึ่งหนุนบรรยากาศการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง อีกทั้งเฟดเพิ่งประกาศยุติการทำ QT (เริ่ม 1 ธ.ค.) ซึ่งช่วยลดแรงกดดันด้านสภาพคล่อง และมักเป็นสัญญาณบวกต่อสินทรัพย์ดิจิทัลในระยะถัดไป
1) บริษัท Strategy เผชิญแรงกดดันจากโครงสร้างเงินทุน ขณะที่รัฐเท็กซัสเดินหน้าเตรียมคลังสำรอง Bitcoin ด้วย IBIT
บริษัท Strategy ถูกจับตาอย่างใกล้ชิดหลัง CEO ระบุว่าอาจจำเป็นต้องขาย Bitcoin หาก
พร้อมกันนี้ บริษัทเตรียมตั้ง เงินสำรองสภาพคล่อง 1.44 พันล้านดอลลาร์ เพราะความกังวลในการจ่ายเงินปันผล Preferred Stock
ขณะเดียวกัน รัฐเท็กซัสเริ่มใช้วงเงินแรกภายใต้กฎหมาย SB 21 ด้วยการซื้อ BlackRock IBIT มูลค่า 5 ล้านดอลลาร์ เพื่อจัดตั้ง Texas Strategic Bitcoin Reserve นับเป็นก้าวสำคัญสู่การนำ Bitcoin เข้าสู่งบดุลภาครัฐครั้งแรกของสหรัฐฯ
ปัจจุบันพอร์ตของ Texas มีเพียง SPY (~$667M) และ Janus Henderson (~$34M) หากยืนยัน IBIT จะเป็นสินทรัพย์ลำดับที่สามในพอร์ตของรัฐ สะท้อนมุมมองว่า Bitcoin มีบทบาทเป็นสินทรัพย์ระยะยาวแม้ถือผ่าน ETF จะไม่ใช่ Bitcoin โดยตรงก็ตาม
ก่อนหน้านี้ Michigan รวมถึงสถาบันระดับโลกอย่างกองทุนอาบูดาบีและ Harvard ก็ลงทุนใน IBIT เช่นกัน สะท้อนการยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลที่ขยายตัวต่อเนื่อง
2) เฟดยุติ Quantitative Tightening (QT) ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม ส่งผลดีต่อการปรับตัวขึ้นในระยะยาวของสินทรัพย์ดิจิทัลและการลดดอกเบี้ยครั้งที่ 3 ของปีนี้ เป็นปัจจัยสนับสนุน Easing Cycle ให้ดำเนินต่อไป
ในการหยุด QT รอบก่อนในปี 2019 ดัชนี S&P 500 ฟื้นตัวกว่า 7% ภายใน 3 เดือน ซึ่งสอดคล้องกับ การเข้าสู่ Easing Cycle ที่นักลงทุนมักลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยงขึ้น เม็ดเงินมักเคลื่อนจาก ตลาดหุ้น → สินทรัพย์ดิจิทัล ทำให้การหยุดดูดสภาพคล่องครั้งนี้เป็นปัจจัยสนับสนุนทิศทางบวกของตลาดคริปโทในระยะถัดไป
3) On-chain Insight: นักลงทุนที่ถือ Bitcoin ระยะสั้น (1-3 เดือน) กำลังยอมขายขาดทุน โดยขาดทุนเฉลี่ย -25% (Realized Loss) ซึ่งเหตุการณ์นี้มักนำไปสู่การ Rebound ของราคา
ข้อมูลล่าสุดชี้ให้เห็นว่า นักลงทุนกลุ่มที่ถือครอง Bitcoin ระยะสั้น (Short-term holders: 1–3 เดือน) กำลังเทขายต่อเนื่องโดยระดับขาดทุนเฉลี่ยสูงที่สุดในขาขึ้นรอบนี้
นักลงทุนกลุ่มนี้มีต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ $113,692 และเกิด Realized Loss เฉลี่ยราว 20–25% ต่อเนื่องเกือบสองสัปดาห์
โดยการขาดทุนของนักลงทุนระดับนี้เคยปรากฏขึ้นหลายครั้ง ทั้งในช่วง กันยายน 2023, กันยายน 2024 และ กุมภาพันธ์ 2025
ซึ่งทุกครั้งตามมาด้วยการรีบาวด์ของราคา เนื่องจากแรงขายส่วนใหญ่เริ่มอ่อนแรงไปแล้ว และมีนักลงทุนบางส่วนเริ่มทยอยสะสมในช่วงราคานี้
4) Bitcoin มีแนวโน้มที่จะ Rebound ในระยะสั้น ไปที่ระดับเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน หากดูข้อมูลในอดีต พบว่าราคามักจะ Rebound ขึ้นไปที่เส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน ก่อนเลือกทิศทางขาขึ้นหรือขาลง
อ้างอิงข้อมูลตั้งแต่ปี 2017–2025 หากตลาดมีการปรับตัวเป็นขาลงแล้ว จะเห็นว่าราคา Bitcoin มักกลับขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่เส้น SMA 200 วัน ทุกครั้ง ก่อนจะปรับตัวลดลงต่อ
ทำให้เรามองว่ามีความเป็นไปได้ 2 กรณี
โดยรวมแล้ว ไม่ว่าตลาดจะอยู่ในขาขึ้นหรือขาลง ราคามีแนวโน้มที่จะเกิดการ Rebound ขึ้นไปที่เส้นค่าเฉลี่ย 200 วันก่อนตัดสินใจว่าจะขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่หรือกลับตัวเป็นขาลง
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษา ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้