สถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังคงทวีความรุนแรงขึ้น โดยล่าสุดสหรัฐฯ ขู่ว่าจะเพิ่มภาษีต่อจีนอีก 50% หากจีนไม่ยกเลิกภาษีตอบโต้ที่ระดับ 34% ขณะที่จีนเองก็ยืนยันว่าจะตอบโต้กลับจนถึงที่สุด ภายใต้แนวโน้ม Tit-for-tat escalation นี้ เราประเมินว่าสงครามการค้าจะยืดเยื้อยาวนานไปตลอด Q2-Q3/25 และเป็น Structural Changes ทำให้ระเบียบโลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป และท้ายที่สุดอาจกลายเป็นสหรัฐฯ ที่ได้รับผลกระทบมากกว่าประเทศอื่น อิงตามรายงานไตรมาส 2Q25 “ลมเปลี่ยนทิศ” ของ InnovestX
เราประเมินแนวรับของดัชนี Nasdaq 100 ที่บริเวณ 16,700 จุด (ประมาณ +1SD, PE 30x) ซึ่งอาจเป็นระดับที่ตลาดมีโอกาสฟื้นตัวในระยะสั้นได้ อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์สงครามการค้ายกระดับความตึงเครียดขึ้นต่อเนื่อง — โดยเฉพาะจากท่าทีของจีนและยุโรป — ดัชนีอาจเผชิญ downside เพิ่มเติมสู่ระดับ 13,500 จุด (ค่าเฉลี่ย 10 ปี, PE 24x) ซึ่งจะถือเป็นการพักฐานรอบใหญ่ หลังจากตลาดอยู่ในช่วงขาขึ้นต่อเนื่องมานานกว่า 10 ปี
ความเห็นและมุมมองรายสินทรัพย์ (8 เม.ย.68)
ตราสารหนี้: เรายังคงแนะนำถือครองตราสารหนี้โลกและตราสารหนี้ไทยต่อเนื่อง โดยมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่โดดเด่นในช่วงตลาดเข้าสู่ภาวะ Risk-off และมีความผันผวนสูง สอดคล้องกับการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี (US 10Y) ปรับลดลงจากจุดสูงสุดในช่วงต้นปีที่ 4.79% ลงมาอยู่ที่ระดับ 4.15% ส่งผลให้ราคาตราสารหนี้ปรับตัวขึ้นสอดคล้องกับคาดการณ์ของเรา
ทองคำ: แนะนำหาจังหวะสะสมเพิ่มเติมเมื่อราคาปรับต่ำกว่า $3,000 โดยมองว่าทองคำยังคงทำหน้าที่เป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง (safe haven) ได้ดีในภาวะสงครามการค้า ประกอบกับการอ่อนค่าต่อเนื่องของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ช่วยหนุนมุมมองราคาทอง
หุ้นโลก: เรายังคงแนะนำทยอยสะสมหุ้นโลกอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงตลาดปรับฐาน Q2-Q3/25 โดยอ้างอิงตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ภายใต้ Core Portfolio ของแต่ละบุคคล โดยมองว่าหุ้นยังคงเป็นสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนได้ดีในระยะยาว
หุ้นสหรัฐฯ: เราคงมุมมองลดน้ำหนักต่อเนื่องจากรายงาน 2Q25 โดยประเมินว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะค่อยๆ สูญเสีย premium ที่เคยได้รับในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาจากสิ่งที่ประธานาธิบดีทรัมป์ทำอยู่ ขณะที่ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจถดถอยจะยิ่งเพิ่มขึ้น โดยยังคงคำแนะนำเน้นกลุ่ม Defensive มากกว่าหุ้น Growth
หุ้นจีน: ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นจีนในระยะยาว โดยเฉพาะ A-Shares ซึ่งได้รับแรงหนุนจากตลาดภายในประเทศที่มีขนาดใหญ่ และการเตรียมความพร้อมรับมือสงครามการค้าตั้งแต่ยุค Trump 1.0 ประกอบกับทิศทางนโยบายของรัฐบาลที่หันมาสนับสนุนภาคเอกชนมากขึ้น เราประเมินว่า CSI300 มีโอกาสปรับขึ้นสู่ระดับ 4,000–5,000 จุดในระยะยาว แนะทยอยลงทุน
หุ้นเทคจีน: ราคาปรับตัวลงมาน่าสนใจ แนะนำทยอยสะสม โดยมองว่าบริษัทเทคโนโลยีจีนยังมีโอกาสขยายสู่ตลาดโลก (ยกเว้นสหรัฐฯ) ได้อีกมาก ขณะที่บริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ ได้ขยายตลาดไปทั่วโลกแล้วและเริ่มเผชิญความเสี่ยงด้าน Earnings downside จากแรงกดดันของสงครามการค้า
หุ้นอินเดีย: เรามีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นอินเดีย โดยแนะนำทยอยสะสมต่อเนื่อง อินเดียได้รับประโยชน์จากกระแสการย้ายฐานการผลิต (supply chain diversification) ท่ามกลางสงครามการค้า และไม่ได้พึ่งพา Global Trade มาก ประกอบกับอานิสงส์จากการเติบโตของการบริโภคภายในประเทศ (domestic consumption) นอกจากนี้ ภาครัฐเดินหน้าโครงการ Make in India อย่างต่อเนื่อง พร้อมดึงดูด FDI เข้ามาเสริมเศรษฐกิจ เชื่อว่าอินเดียจะยังคงเป็นหนึ่งในตลาดดาวเด่นในระยะกลางถึงยาว
หุ้นญี่ปุ่น: แนะนำทยอยสะสมจากปัจจัยบวกด้าน Corporate reform และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ รวมถึงการลงทุนเพิ่มเติมจาก Berkshire Hathaway ซึ่งกระตุ้นความสนใจของนักลงทุนสถาบันทั่วโลกต่อหุ้นญี่ปุ่น
หุ้นเวียดนาม: แนะนำชะลอการลงทุน เนื่องจากเวียดนามเป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออกกว่า 100% ของ GDP และอยู่ระหว่างการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ ล่าสุดเวียดนามเสนอปรับลดภาษีนำเข้าสหรัฐฯ เหลือ 0% แต่สหรัฐฯ ยังคงแสดงความไม่พอใจ ซึ่งหากข้อพิพาทยืดเยื้อ อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนามในระยะกลางถึงยาว
หุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปยังมี Valuation ถูกกว่าหุ้นสหรัฐฯ และเศรษฐกิจเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวและเงินเฟ้อชะลอลง ประกอบกับการปฏิรูปการผ่อนปรนมาตรการจำกัดหนี้ (Debt brake) ของเยอรมนี มองเป็น Structural change ของเยอรมนีและยุโรป จึงมีความน่าสนใจมากขึ้นในระยะยาว แนะทยอยลงทุน
หุ้นไทย: รอจังหวะสะสมเพิ่ม โดยประเมินว่าตลาดหุ้นไทยมีโอกาสสร้างฐานที่ระดับดัชนีประมาณ 1,050-1,100 จุด พร้อมปัจจัยหนุนจากเม็ดเงินลงทุน LTF เดิมที่กำลัง switch มาสู่ ESGx รวมถึงมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐและตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งอาจช่วยให้ตลาดหุ้นไทยสามารถฟื้นตัวได้ภายใน 2Q25 นี้