สรุปสาระสำคัญ
มอง SET แกว่งตัว sideway โดยแม้คาดดัชนียังมีแรงส่งต่อเนื่อง หลัง กนง. ปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย ช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติพลิกมียอดขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยราว 7.3 พันลบ. ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) นักลงทุนต่างชาติมียอดขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยราว 1.13 แสนลบ. จากที่เคยมียอดขายสุทธิสูงสุดที่ 1.29 แสนลบ
- ช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา SET ปรับขึ้น 3.16% แรงหนุนจากความเชื่อมั่นเชิงบวกต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลัง 1) ผลประกอบการของหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มการเงินของสหรัฐออกมาแข็งแกร่ง รวมทั้ง TSMC ยังเผยกำไรสูงเกินคาดและคาดรายได้ 4Q24 จะเพิ่มขึ้นอีกหลังมีอุปสงค์ชิปด้าน AI ซึ่งหนุนให้มีการปรับขึ้นของหุ้นกลุ่มผู้ผลิตชิป และ 2) ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดี อาทิ ยอดค้าปลีก ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ เป็นต้น ขณะที่เงินเฟ้อสหรัฐปรับลงทำให้คาดเฟดยังมีแนวโน้มลดดอกเบี้ย อีกทั้ง กนง. ยังปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย 25bps เหลือ 2.25% สวนทางตลาดคาดคงดอกเบี้ย ส่งผลให้มีแรงซื้อเก็งกำไรเข้ามาในหุ้นที่ได้อานิสงส์จากดอกเบี้ยขาลง ส่วนการที่จีนประกาศมาตรการการคลังรอบใหม่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ยังไม่มีการระบุวงเงินในมาตรการ อีกทั้งไม่ได้มีการออกมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ชุดใหญ่อย่างที่ตลาดคาด จึงยังสร้างความผิดหวังต่อนักลงทุน และตลาดน้ำมันปรับตัวลง หลัง OPEC และ IEA ปรับลดคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันในปีนี้และปีหน้า อีกทั้งคลายกังวลอุปทานชะงักงันเนื่องจากอิสราเอลเผยไม่มีแผนโจมตีแหล่งน้ำมันของอิหร่าน ทั้งนี้สองสัปดาห์ที่ผ่านมาหุ้นที่มีแรงซื้อ นำโดย DELTA GULF ADVANC INTUCH TRUE ส่วนหุ้นที่มีแรงขาย นำโดย PTTEP SCC PTTGC BANPU HANA TOP
- ช่วงสั้นมอง SET แกว่งตัว sideway โดยแม้คาดดัชนียังมีแรงส่งต่อเนื่อง หลัง กนง. ปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย รวมไปถึงยังมองมีปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะผลประกอบการของ บจ. ในสหรัฐ ที่คาดจะออกมาแข็งแกร่งกว่าตลาดคาด สืบเนื่องจากมีความคาดหวังต่ำ อย่างไรก็ดีมอง SETะมี Upside จำกัด หลังเริ่มเข้าสู่ช่วงติดตามผลประกอบการ 3Q67 ของ บจ. ไทยกลุ่ม Real Sector และยังรอนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของภาครัฐ และหากพิจารณาในตัวเลขเศรษฐกิจที่จะประกาศสัปดาห์หน้า อาทิ ตัวเลขอสังหาริมทรัพย์และดัชนี PMI ภาคการผลิตของสหรัฐมองยังมีแนวโน้มชะลอตัวลง ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 4 ธีมหลักที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
1.หุ้น Earning Play สำหรับนักลงทุนระยะกลางที่ต้องการหุ้นมีปัจจัยพื้นฐานดีที่กำไร 3Q67 คาดมีโมเมนตัมเติบโต YoY และ QoQ เลือก BEM BCH BDMS GULF TRUE AU TNP ขณะที่แนะนำระมัดระวังกลุ่มที่มีความเสี่ยง 3Q67 งบออกมาแย่กว่าตลาดคาด อาทิ กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีจากราคาน้ำมันลดลง กลุ่มบรรจุภัณฑ์จากยอดขายอ่อนตัวและค่าเงินบาทแข็ง กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์จากค่าเงินบาทแข็ง
2.หุ้นที่ได้อานิสงส์จากแนวโน้มดอกเบี้ยปรับตัวลง แนะนำ 1) หุ้นกลุ่ม Reits (LHHOTEL DIF) ซึ่งได้อานิสงส์บวกภายใต้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรกำลังจะเปลี่ยนเป็นทิศทางเป็นขาลง 2) หุ้นกลุ่มค้าปลีก (CPALL) กลุ่มอสังหาฯ (AP SIRI) ซึ่งได้อานิสงส์จากประชาชนมีอำนาจซื้อเพิ่มขึ้น (ดอกเบี้ยเงินกู้ลดลง) 3) หุ้นธนาคาร (TISCO KKP) เพราะมีสัดส่วนของสินเชื่อเช่าซื้อสูง ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยคงที่ และ 4) หุ้นที่มีต้นทุนกู้ยืมลดลง GPSC BAM
3.หุ้นที่จ่ายปันผลสูงละคาดได้อานิสงส์จากการเป็นเป้าหมายสะสมของกองทุนวายุภักษ์และกองทุนที่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีช่วงปลายปี อาทิ SSF RMF และ THAIESG แนะนำหุ้น SET100 ที่คาดให้ Dividend Yield ขั้นต่ำปีละ 3.5% และมี ESG Rating สูงตั้งแต่ระดับ AA-AAA และ CG ระดับ 5 ดาว อีกทั้งมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตได้ในปี 2025 เลือก KTB BBL ADVANC HMPRO BCP
4.นักลงทุนที่ยังกังวลสถานการณ์ในตะวันออกกลางและต้องการหุ้นน้ำมันสำหรับป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ยังคงเลือกหุ้นน้ำมันขั้นต้นอย่าง PTTEP
5 หุ้น Top Pick Bi-weekly Portfolio
ผลการดำเนินงานย้อนหลัง bi-weekly portfolio Biweekly Portfolio Strategy