สรุปสาระสำคัญ
มอง SET ฟื้นตัวจำกัดจากกังวลปัจจัยในประเทศและสงครามการค้า
- ช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา SET ผันผวนและปรับลงแรง 5.38% ยังคงแย่กว่าตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งนอกจากมีความกังวลเรื่องการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐและสงครามการค้าหลัง ปธน. ทรัมป์ประกาศจะขึ้นภาษีนำเข้าต่อยานยนต์, เซมิฯ และเวชภัณฑ์ ในอัตรา 25% แล้ว ในประเทศยังมีปัจจัยลบต่อเนื่องทั้งกังวลการขาดความเชื่อมั่นการลงทุนและผลประกอบการ 4Q67 ของ บจ. ที่ส่วนใหญ่ออกมาต่ำกว่าคาด อีกทั้งยังมีแรงกดดันจากกระแสเงินไหลออกจากภูมิภาคต่อเนื่อง ถึงแม้ กนง. จะปรับลดดอกเบี้ยเหนือความคาดหมายของตลาด, ตัวเลขส่งออก ม.ค. 68 ออกมาดีกว่าตลาดคาด และ ตลท.ประกาศมาตรการจำกัดการขายชอร์ตและการเทรดความถี่สูง (HFT) เฉพาะหุ้น SET100 และเตรียมประกาศ Jump+ เพื่อกระตุ้นบรรยายกาศลงทุนแล้วก็ตา โดยนักลงทุนต่างชาติมียอดขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยราว 8.1 พันลบ. ทั้งนี้มีแรงขายหนักนำโดยกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (DELTA HANA KCE CCET) กลุ่ม (PTTGC IVL) กลุ่มสื่อสาร (ADVANCD TRUE INTUCH) ส่วนแรงซื้อพักตัวในกลุ่มการแพทย์ (BDMS BH BCH) กลุ่มพาณิชย์ (CPALL CPAXT) และกลุ่มท่องเที่ยว (MINT CENTEL)
- ช่วงสั้นมอง SET ฟื้นตัวจำกัด สืบเนื่องมาจากความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมืองในประเทศและการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่อยู่ในระดับต่ำและฟื้นตัวช้าเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน อย่างไรก็ดี หากเปรียบเทียบในเชิง Valuation จะพบว่า ระดับ PER ของ SET ที่ 12-13 เท่า อาจจะดูเหมือนสูงกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาค แต่มองว่าสัดส่วนภาคบริการของไทยมีมากกว่าเมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆ ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐยังแข็งแกร่ง แม้จะมีสัญญาณชะลอตัวลงแต่จะได้รับแรงหนุนจากการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดเช่นเดียวกับธนาคารกลาง ECB ที่ตลาดคาดจะมีมติปรับลดดอกเบี้ย 25bps สู่ 2.50% ส่วนเศรษฐกิจจีนยังได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการของรัฐ ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลักที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และ 2 ธีมเทรดดิ้งระยะสั้น ดังนี้
- หุ้น Undervalued สำหรับลงทุน โดยคัดเลือกหุ้น SET100 ที่คาดเป็นเป้าหมายของกองทุน โดยมีคุณสมบัติ 1) ปี 2568 คาดกำไรยังเติบโตได้ YoY 2) มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง โดยมีความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยสูง (Interest Coverage ratio > 1) 3) Valuation ไม่แพง โดยปัจจุบันซื้อขายที่ PER และ PBV 68F ระดับต่ำกว่า -1SD 4) มีศักยภาพจ่ายปันผลสม่ำเสมอ โดยคาดให้ Div. Yield ปี 2568 อย่างน้อยปีละ 2% และ 5) มี SET ESG Rating ระดับ A-AAA แนะ-นำ CPALL BDMS MTC MINT BTG
- หุ้นปันผลคุณภาพดี โดยมีคุณสมบัติ 1) มีสถิติจ่ายปันผลต่อเนื่องอย่างน้อย 20 ปีขึ้นไป และมี SET ESG Rating ตั้งแต่ระดับ A-AAA 2) มีศักยภาพจ่ายปันผลสูง โดยบริษัทจ่ายเงินปันผลจากกำไรปี 2567 หลังหักจ่ายระหว่างกาลไปแล้ว คิดเป็น Div. Yield สูงเกิน 4% และคาดให้ Div. Yield ปี 68 สูงเกิน 6% พร้อมทั้ง Div. payout ratio มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหรือทรงตัว และ 3) ปี 2568 ผลประกอบการยังแข็งแกร่ง และราคาหุ้นปัจจุบันยังมี Upside เกิน 15% แนะนำ AP KTB BBL PTT SPALI KBANK
- หุ้น Earning Play ซึ่งมองราคาหุ้นยังไม่ได้สะท้อนกำไร 1Q68 ที่คาดจะเติบโตดี YoY และ QoQ อีกทั้งยังมีศักยภาพจ่ายปันผลสม่ำเสมอ เลือก ADVANC TRUE AMATA TIDLOR MTC AU HTC
Trading Idea : นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้แนะนำเก็งกำไร 1) หุ้นที่คาดได้อานิสงส์ดอกเบี้ยขาลง แนะนำ กลุ่ม REITs (LHHOTEL DIF), กลุ่มค้าปลีก (CPALL CPAXT) กลุ่มอสังหาฯ (AP SIRI), กลุ่มธนาคาร (TISCO KKP),กลุ่มเช่าซื้อ (MTC TIDLOR) และกลุ่มไฟฟ้า (GULF GPSC) และ 2) หุ้นที่คาดได้ Sentiment บวกจากงาน Opp. Day ซึ่งคาดจะมีโทนประชุมเป็นบวกในสัปดาห์หน้า และเราดูแลอยู่อย่าง CPALL BCP AMATA KLINIQ
5 หุ้น Top Pick Bi-weekly Portfolio

ผลการดำเนินงานย้อนหลัง bi-weekly portfolio Biweekly Portfolio Strategy
