Checklist “9 เทคนิค เลือกกองทุนรวม”💬
ข้อที่ 1 “นโยบายและสินทรัพย์ที่ลงทุน”
นโยบายและสินทรัพย์ที่ลงทุนเป็นขั้นตอนแรกของการเลือกกองทุนรวมที่ใช่ เพื่อให้ตรงตามสัดส่วนสินทรัพย์ที่กำหนดไว้ในพอร์ตการลงทุน เช่น กรอบสัดส่วนการลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ 70:30 เป็นต้น
ข้อที่ 2 “Sharpe Ratio”
Sharpe Ratio หรือ ผลตอบแทนต่อความเสี่ยง เป็นการวัดผลตอบแทนส่วนเกินเหนือผลตอบแทนสินทรัพย์ปราศจากความเสี่ยงปรับด้วยความเสี่ยงกองทุนรวม โดยผู้ลงทุนสามารถนำค่านี้มาใช้ในการเปรียบกองทุนรวมบนฐานเดียวกันได้ ค่ายิ่งสูงยิ่งดี เพราะสะท้อนความสามารถในการสร้างผลตอบแทนเทียบ 1 หน่วยความเสี่ยงได้ดีกว่า
เช่น กองทุน A และ B มีค่า Sharpe Ratio เท่ากับ 1.1 และ 0.9 ตามลำดับ หมายความว่า กองทุน A ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่ากองทุน B เมื่อเทียบความเสี่ยง 1 หน่วยเดียวกัน
ข้อที่ 3 “ความสม่ำเสมอของผลตอบแทน”
การสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ควรใช้ในการพิจารณาเลือกกองทุนรวม เพราะแสดงถึงความสามารถในการสร้างผลตอบแทนของผู้จัดการกองทุนที่ไม่ได้จำกัดที่ไม่ได้จำกัดเพียงช่วงระยะสั้น ๆ
ในหลายครั้งกองที่เคยสร้างผลตอบแทนได้โดดเด่นในบางปี อาจกลายเป็นกองทุนที่มีผลการดำเนินแย่ในปีถัดไป ซึ่งสร้างผลกระทบสะท้อนกลับมาสู่ผู้ลงทุนในทางจิตวิทยา เพื่อเลี่ยงภาวะดังกล่าว นักลงทุนควรพิจารณาความสม่ำเสมอของผลตอบแทนกองทุนรวมในระยะเวลาที่นานขึ้น
ข้อที่ 4 “Standard Deviation”
Standard Deviation หรือ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน คือค่าที่บอกถึงความผันผวนของกองทุนรวม ยิ่งค่าต่ำยิ่งดี เพราะแสดงถึงความผันผวนของกองทุนรวมที่ต่ำตามไปด้วย และสามารถนำมาใช้เปรียบเทียบเพื่อดูได้ว่ากองทุนใดมีความผันผวนสูงกว่ากันในช่วงที่ผ่านมา
ข้อที่ 5 “Maximum Drawdown”
Maximum Drawdown คือ การขาดทุนสูงสุดที่เกิดขึ้นในอดีต วัดจาก NAV กองทุนรวมจากจุดสูงสุด (historical peak) ไปยังจุดต่ำสุด (historical trough) ซึ่งมีได้หลายค่าในแต่ละช่วงเหตุการณ์ในอดีต แต่ Maximum Drawdown จะเลือกค่าที่มีการขาดทุนสูงสุดจากทุกค่าในรอบที่มีการขาดทุน
ข้อที่ 6 “Up Capture Ratio และ Down Capture Ratio”
Up Capture Ratio เป็นการเปรียบเทียบผลตอบแทนกองทุนกับดัชนีอ้างอิงในช่วงที่ตลาดปรับตัวขึ้น ขณะที่ Dow Capture Ratio เป็นการเปรียบเทียบผลตอบแทนกองทุนกับดัชนีอ้างอิงในช่วงที่ตลาดปรับตัวลง ซึ่งทั้งสองค่าเป็นการวัดว่ากองทุนสามารถทำผลการดำเนินงานได้ดีหรือแย่กว่าดัชนีอ้างอิง (benchmark)
• ตัวอย่าง Up Capture 130 คือ หากตลาดปรับตัวขึ้น 1% กองทุนสามารถปรับตัวขึ้นได้ถึง 1.3% (Outperform อยู่ +0.3%)
• ตัวอย่าง Down Capture 80 คือ หากตลาดปรับตัวลง -1% กองทุนปรับตัวลงแค่ -0.8% (Outperform อยู่ +0.2%)
• ตัวอย่าง Down Capture -20 คือ หากตลาดปรับตัวลง -1% กองทุนปรับตัวขึ้นสวนทาง 0.2% (Outperform อยู่ +1.2%)
ข้อที่ 7 “ทีมบริหาร หรือ Fund Manager”
ทีมบริหารการลงทุน หรือ ทีมผู้จัดการกองทุน มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการบริหารและสร้างผลตอบแทนส่วนเกินให้แก่กองทุนรวม เช่น หากเป็นกองทุนเวียดนามที่มีผู้จัดการกองทุนและทีมนักวิเคราะห์เป็นคนท้องถิ่น ก็จะช่วยให้การเข้าถึงข้อมูลเป็นไปได้ง่ายขึ้น เป็นต้น
ข้อที่ 8 “ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย”
ผู้ลงทุนควรพิจารณาค่าธรรมเนียมการซื้อขาย (Front-end and Back-end Fee) ที่ไม่ควรสูงจนเกินไปเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ที่ลงทุน โดยหากเป็นกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศด้วยนโยบายเชิงรุก มักมีค่าธรรมเนียมการซื้ออยู่ที่ 1.5% และไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมขายคืน
บางกรณีที่กองทุนรวมมีการยกเว้นค่าธรรมเนียมในบางช่วงเวลา ก็มักเป็นประโยชน์แก่ผู้ลงทุนเช่นกัน ซึ่งส่วนนี้ก็สามารถใช้เป็นหนึ่งในปัจจัยการพิจารณาเลือกกองทุนรวมได้อีกด้วย
ข้อที่ 9 “ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บเข้ากองทุน”
ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บเข้ากองทุน เปรียบเสมือนค่าใช้จ่ายที่หักจาก NAV ในแต่ละวัน และเก็บเข้ากองทุนรวมเพื่อเป็นการบริหารจัดการภายใน บลจ.และกองทุน ผู้ลงทุนส่วนใหญ่มักไม่ค่อยได้พิจารณาข้อมูลส่วนนี้มากนัก แต่เป็นการดีหากผู้ลงทุนทราบข้อมูลส่วนนี้เพิ่ม เพื่อใช้ในการตัดสินใจเลือกกองทุนรวม
อย่างไรก็ดี การที่กองทุนรวมเรียกเก็บค่าธรรมเนียมส่วนนี้สูงไม่ได้หมายความว่าจะเป็นอุปสรรคต่อการสร้างผลการดำเนินงานเสมอไป