ARM (ARM.US) ผู้ออกแบบชิปไร้โรงงาน เบื้องหลังอุปกรณ์กว่า 300,000 ล้านชิ้นทั่วโลก พร้อมรายได้เติบโตแรงจากกระแส AI

จากเคมบริดจ์สู่หัวใจของโลกเทคโนโลยี 

 

ARM Holdings ก่อตั้งขึ้นในปี 1990 ที่สหราชอาณาจักร ด้วยเป้าหมายในการสร้างคอมพิวเตอร์ที่สามารถทำงานด้วยแบตเตอรี่ ในยุคที่ยังต้องพึ่งพาพลังงานไฟฟ้าตลอดเวลา จุดเริ่มต้นนี้นำไปสู่การพัฒนา สถาปัตยกรรมชิปแบบ RISC (Reduced Instruction Set Computing) ที่เน้นความเรียบง่าย ประหยัดพลังงาน และประสิทธิภาพสูง 

 

ARM สร้างโมเดลธุรกิจที่ไม่เหมือนใคร ด้วยการ ไม่ผลิตชิปเอง แต่ให้ ลิขสิทธิ์เทคโนโลยี (Licensing Model) แก่บริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลก กลยุทธ์นี้ช่วยให้ ARM เติบโตได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการผลิต และกลายเป็นมาตรฐานสำคัญของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ 

 

ในช่วงปี 2000–2010 ARM เติบโตควบคู่กับการขยายตัวของตลาดสมาร์ทโฟน ก่อนจะรุกเข้าสู่ตลาดใหม่อย่าง รถยนต์ไฟฟ้า (EV), อุปกรณ์อัจฉริยะ (IoT) และ ศูนย์ข้อมูล (Data Center) พร้อมเสริมจุดแข็งผ่านโซลูชันครบวงจรอย่าง Compute Subsystems (CSS) และซอฟต์แวร์ AI อย่าง KleidiAI 

ปัจจุบัน ARM เป็นผู้ออกแบบเทคโนโลยีเบื้องหลังอุปกรณ์มากกว่า 300,000 ล้านชิ้นทั่วโลก และในปี 2023 การจดทะเบียนในตลาด NASDAQ ได้ตอกย้ำบทบาทของ ARM ในฐานะ ผู้กำหนดอนาคตของชิปและ AI ระดับโลก 

 

 

โครงสร้างรายได้ที่แข็งแกร่งและหลากหลาย 

 

1. Licensing Revenue – 51% ให้สิทธิ์ออกแบบชิปแก่บริษัททั่วโลก เช่น Apple, Samsung, Qualcomm รายได้เติบโตจากเทคโนโลยี Armv9 และ CSS ที่เน้นงาน AI 

2. Royalty Revenue – 49%  รับค่าสิทธิบัตรทุกครั้งที่มีการขายชิป ARM ครอบคลุมตลาดสมาร์ทโฟน, EV, Data Center และ IoT 

 

 

 

กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจและจุดแข็งที่โดดเด่น 

 

ARM มีกลยุทธ์หลักที่เน้นการเป็น “แพลตฟอร์มคอมพิวติ้งที่มีประสิทธิภาพสูงสุด” โดยมุ่งสร้าง ระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่ครอบคลุมตั้งแต่การออกแบบสถาปัตยกรรมชิป ไปจนถึงการพัฒนาซอฟต์แวร์และเครื่องมือสำหรับนักพัฒนา

 

จุดแข็งสำคัญคือการพัฒนา Compute Subsystems (CSS) ซึ่งเป็นโซลูชันชิปแบบครบวงจรที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถพัฒนาชิปของตนเองได้เร็วขึ้นและลดต้นทุนด้านการออกแบบ CSS กำลังได้รับความนิยมอย่างมากจากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ และคาดว่าจะกลายเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์หลักของ ARM ในอนาคต 

 

บริษัทยังลงทุนอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาเทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยเฉพาะ KleidiAI ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์พื้นฐานด้าน AI ที่ถูกติดตั้งในอุปกรณ์ต่าง ๆ ทั่วโลกมากกว่า 8 พันล้านครั้ง นอกจากนี้ ARM ยังให้การสนับสนุน นักพัฒนาซอฟต์แวร์กว่า 22 ล้านคนทั่วโลก ทำให้กลายเป็นหนึ่งในชุมชนผู้พัฒนาที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับโลก 

 

 

เปรียบเทียบกับคู่แข่งในธุรกิจเทคโนโลยีชิป 

 

เปรียบเทียบกับ Intel Corporation (สหรัฐอเมริกา): Intel ดำเนินธุรกิจแบบผู้ผลิตครบวงจร โดยออกแบบและผลิตชิปเองภายในบริษัท (Integrated Model) เน้นตลาดพีซีและศูนย์ข้อมูล (Data Center) เป็นหลัก และมีโรงงานผลิตของตนเองในหลายประเทศ ขณะที่ ARM มุ่งเน้นการออกแบบ สถาปัตยกรรมชิป (Chip Architecture) แล้วให้ ลิขสิทธิ์ (Licensing Model) แก่บริษัทอื่น โดยไม่ผลิตเอง จุดแข็งของ ARM อยู่ที่การออกแบบชิปที่ ประหยัดพลังงาน ซึ่งเหมาะกับอุปกรณ์พกพาและ AI มากกว่า ขณะที่ Intel มีข้อได้เปรียบด้าน เทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงแต่ต้องรับภาระ ต้นทุนการผลิตที่สูง และใช้เวลาในการปรับตัวกับเทรนด์ AI ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว 

 

ปัจจุบัน Intel กำลังเร่งลงทุนเพื่อไล่ตามการเปลี่ยนแปลงของตลาด เช่น การสร้างโรงงานผลิตใหม่ในสหรัฐฯ และยุโรป เพื่อแข่งขันกับ โมเดลธุรกิจแบบเบา (fabless model) อย่างของ ARM 

 

 

เมื่อเทียบกับธุรกิจในประเทศไทย 

 

เปรียบเทียบกับ Delta Electronics (Thailand) PCL (DELTA): DELTA เป็นบริษัทชั้นนำในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ของไทยที่เน้นการผลิตอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน เช่น Power Supply, EV Charger และ ระบบจัดการพลังงาน โดยมีโรงงานผลิตจริงและส่งออกสินค้าทั่วโลก ขณะที่ ARM ไม่ผลิตชิปเอง แต่ให้ ลิขสิทธิ์เทคโนโลยีระดับชั้นนำ (Licensing of Advanced Chip Architecture) แก่บริษัทผู้ผลิตชิปรายใหญ่ทั่วโลก จุดร่วมของทั้งสองบริษัทคือการมุ่งเน้น นวัตกรรมด้านพลังงาน และ เทคโนโลยีสำหรับการใช้งานในระดับอุตสาหกรรมอย่างไรก็ตาม ARM มีบทบาทในระดับโลกในฐานะ “ผู้กำหนดมาตรฐานเทคโนโลยีชิป และมีโมเดลธุรกิจที่เน้น ทรัพย์สินทางปัญญา เป็นหลัก ส่วน DELTA โดดเด่นในฐานะ ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์และระบบควบคุมไฟฟ้า โดยมีจุดแข็งในด้าน การผลิต และ การดำเนินงานในภูมิภาคเอเชีย 

 

 

ความท้าทายและความเสี่ยงในปัจจุบัน 

 

ARM ต้องเผชิญกับความท้าทายจากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในตลาด AI Chip โดยเฉพาะจากบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่อย่าง Google, Apple และ Amazon ที่ต่างพัฒนา ชิป AI เป็นของตนเอง รวมถึงความไม่แน่นอนจาก นโยบายการค้าระหว่างประเทศ และ ภาษีนำเข้า ที่อาจส่งผลกระทบต่อ ห่วงโซ่อุปทานโลก ความเสี่ยงด้านการพึ่งพาตลาดสมาร์ทโฟน เป็นแหล่งรายได้หลักก็เป็นประเด็นที่ต้องจับตา เนื่องจาก ตลาดสมาร์ทโฟน เติบโตช้าลงในช่วงหลัง นอกจากนี้ การที่ลูกค้าใหญ่อย่าง Apple พัฒนาชิปเป็นของตัวเอง อาจลดการพึ่งพาเทคโนโลยีของ ARM ในอนาคต แม้ว่าปัจจุบัน Apple ยังคงใช้ สถาปัตยกรรม ARM  อยู่ 

 

 

อนาคตและโอกาสการเติบโต 

 

ARM มีโอกาสการเติบโตที่น่าตื่นเต้นจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะการขยายตัวของตลาด AI ที่คาดว่าจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปีข้างหน้า บริษัทคาดการณ์ว่าชิป ARM จะครองส่วนแบ่งตลาด Data Center ถึง 50% ของชิปเซิร์ฟเวอร์ใหม่ในปีนี้ 

 

การพัฒนาเทคโนโลยี Armv9 และ CSS ที่ได้รับความนิยมสูงจากบริษัทชั้นนำอย่าง NVIDIA, Google และ Microsoft แสดงให้เห็นถึงศักยภาพการเติบโตในระยะยาว นอกจากนี้ ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า และ IoT ที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วก็เป็นโอกาสสำคัญสำหรับ ARM

 

โครงการ Stargate ที่ร่วมมือกับ OpenAI และ NVIDIA เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ขนาดใหญ่ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของ ARM ในอนาคตของเทคโนโลยี AI การลงนามข้อตกลงกับรัฐบาลมาเลเซียเพื่อพัฒนาระบบนิเวศ AI ยังเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการขยายตัวในภูมิภาคเอเชีย 

 

สนใจลงทุนในหุ้น ARM Holdings (ARM) และหุ้นเทคโนโลยีอื่น ๆ จากทั่วโลกได้ง่าย ๆ ผ่านแอปพลิเคชัน InnovestX ที่ให้คุณเข้าถึงการลงทุนระดับโลกได้แบบไร้ขีดจำกัด สนใจเปิดบัญชีลงทุน คลิก https://innovestx.onelink.me/23if/2jlpsi7b

 

คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษา ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน