Coca-Cola (KO): บริษัทเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่จากสหรัฐฯ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) กำลังเปลี่ยนผ่านจากแบรนด์น้ำอัดลมคลาสสิกสู่ “Total Beverage Company” หรือบริษัทเครื่องดื่มครบวงจร ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ ด้วยส่วนแบ่งตลาดน้ำอัดลมโลกกว่า 44.6% และแบรนด์พันล้านดอลลาร์ถึง 30 แบรนด์ Coca-Cola ขยายพอร์ตไปสู่เครื่องดื่มสุขภาพ เครื่องดื่มโปรตีน และนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์รีไซเคิล พร้อมส่งมอบประสบการณ์ที่แตกต่างในกว่า 200 ประเทศทั่วโลก ด้วยกระแสเงินสดอิสระที่แข็งแกร่งและการจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่อง หุ้น Coca-Cola จึงเหมาะกับนักลงทุนที่มองหาความมั่นคงควบคู่กับการเติบโตในระยะยาว
การเดินทางของ The Coca-Cola Company เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 1886 เมื่อนายแพทย์ John Stith Pemberton คิดค้นสูตรเครื่องดื่มลึกลับขึ้นที่ร้านขายยาในแอตแลนต้า โดยในปี 1892 Asa Candler ได้ก่อตั้งบริษัท The Coca-Cola Company อย่างเป็นทางการ และในปี 1915 ขวดแก้วทรงโค้งที่เป็นเอกลักษณ์ก็ถือกำเนิดขึ้น ผ่านมาเกือบ 140 ปี Coca-Cola ได้พัฒนาจากเครื่องดื่มท้องถิ่นกลายเป็นแบรนด์ระดับโลกที่ทุกคนรู้จัก
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะปี 1928 เมื่อ Coca-Cola เข้าสู่ตลาดโอลิมปิกครั้งแรก และในทศวรรษ 1940s บริษัทได้เริ่มสร้างโรงงานบรรจุขวดทั่วโลกผ่านระบบ Bottling Partners ที่ช่วยให้เข้าถึงผู้บริโภคในแต่ละพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตและการตลาดที่สร้างสรรค์ เช่น แคมเปญ “It’s the Real Thing” ในปี 1971 ทำให้ Coca-Cola กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมโลก
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Coca-Cola ได้เปลี่ยนแปลงกลยุทธ์อย่างมีนัยสำคัญ จากการเป็นบริษัทเครื่องดื่มอัดลม มาสู่การเป็น "Total Beverage Company" โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 2017 เป็นต้นมา ที่มีผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภท ตั้งแต่น้ำดื่ม เครื่องดื่มกีฬา กาแฟ ไปจนถึงเครื่องดื่มโปรตีนที่กำลังเติบโตเร็ว การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้บริษัทสามารถรับมือกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น
Coca-Cola มีโครงสร้างรายได้ที่กระจายความเสี่ยงได้ดี โดยแบ่งออกเป็น 4 ส่วนหลัก
เป็นธุรกิจหลักที่ครอบคลุมแบรนด์ระดับโลกอย่าง Coca-Cola, Sprite และ Fanta ซึ่งยังคงเติบโตอย่างมั่นคงจากฐานผู้บริโภคที่ภักดีในทุกภูมิภาค โดยบริษัทมุ่งเน้นพัฒนาสูตรน้ำตาลต่ำและปรับลดแคลอรีเพื่อตอบโจทย์กระแสสุขภาพที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากความนิยมในแบรนด์หลักและความต้องการทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น
กลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่ตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ ครอบคลุมแบรนด์อย่าง Fairlife, Core Power, Simply และเครื่องดื่มจากพืชที่ใช้วัตถุดิบธรรมชาติเป็นหลัก กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตสูงจากกระแสโภชนาการ การบริโภคอาหารจากพืช และความต้องการเครื่องดื่มที่มีคุณค่าทางสุขภาพ
รวมแบรนด์สำคัญอย่าง Dasani, SmartWater, Powerade และ BodyArmor ซึ่งได้รับความนิยมจากผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพและมีกิจกรรมกลางแจ้งหรือออกกำลังกายเป็นประจำ กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตอย่างมั่นคงจากกระแสไลฟ์สไตล์เชิงสุขภาพและความต้องการในการเติมน้ำและฟื้นฟูร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ
นำโดยแบรนด์ Costa Coffee ที่เจาะตลาดเครื่องดื่มพรีเมียมทั้งในรูปแบบร้านกาแฟและเครื่องดื่มพร้อมดื่ม (RTD) เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคกลุ่ม Millennials และ Gen Z ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพ รสชาติ และความสะดวกในการบริโภค กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตดีจากความนิยมในเครื่องดื่มพรีเมียมและพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปในกลุ่มคนรุ่นใหม่
โครงสร้างรายได้ที่หลากหลายนี้ช่วยให้ Coca-Cola สามารถรับมือกับความผันผวนในแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์ได้ดี และเปิดโอกาสการเติบโตในหลายมิติ โดยเฉพาะการขยายตัวในกลุ่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่มีอัตราการเติบโตสูงกว่าเครื่องดื่มอัดลมทั่วไป
Coca-Cola ใช้กลยุทธ์การเป็น "ธุรกิจท้องถิ่นในทุกชุมชน" โดยอาศัยเครือข่ายพันธมิตรการผลิตและจำหน่ายกว่า 700,000 รายทั่วโลก ทำให้สามารถปรับผลิตภัณฑ์และกลยุทธ์ให้เหมาะกับวัฒนธรรมและความต้องการเฉพาะพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังเน้นการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ เช่น การรุกเข้าสู่ตลาดเครื่องดื่มโปรตีนผ่านแบรนด์ Fairlife และ Core Power ซึ่งได้รับแรงหนุนจากเทรนด์การใช้ยาลดน้ำหนัก GLP-1 (ยาที่ออกฤทธิ์เลียนแบบฮอร์โมน Glucagon-like peptide-1) ที่ต้องการเสริมโปรตีนเพื่อรักษามวลกล้ามเนื้อ
ด้านความยั่งยืน Coca-Cola มุ่งพัฒนาบรรจุภัณฑ์รีไซเคิล โดยกว่า 95% ของบรรจุภัณฑ์หลักสามารถรีไซเคิลได้ พร้อมตั้งเป้าขยายการใช้บรรจุภัณฑ์แบบ Refillable ในตลาดที่มีโครงสร้างรองรับ การลงทุนในด้านนี้ไม่เพียงตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม แต่ยังช่วยลดต้นทุนในระยะยาว เสริมด้วยระบบการตลาดและจัดจำหน่ายแบบครบวงจร ซึ่งใช้เงินลงทุนกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ต่อปีและเข้าถึงผู้บริโภคถึง 2.2 พันล้านครั้งต่อวัน ทำให้แบรนด์ของ Coca-Cola มีการจดจำและเข้าถึงในระดับโลกอย่างแข็งแกร่ง
เทียบกับ PepsiCo (PEP) ในสหรัฐอเมริกา: PepsiCo ก่อตั้งจากการควบรวมระหว่าง Pepsi-Cola และ Frito-Lay มีโครงสร้างธุรกิจที่ครอบคลุมทั้งอาหารและเครื่องดื่ม โดยขนมขบเคี้ยวอย่าง Lay’s, Doritos และ Cheetos เป็นแหล่งรายได้หลักของบริษัท PepsiCo ทั้ง Coca-Cola และ PepsiCo ต่างเป็นผู้นำระดับโลกในตลาดเครื่องดื่ม ทั้งสองบริษัทปรับตัวตามด้วยการรุกตลาดเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ความแตกต่างสำคัญ คือ PepsiCo มีรายได้หลักจากธุรกิจขนมขบเคี้ยวผ่าน Frito-Lay ขณะที่ Coca-Cola มุ่งเน้นเฉพาะธุรกิจเครื่องดื่ม ซึ่ง Coca-Cola ครองส่วนแบ่งตลาดน้ำอัดลมถึง 44.6% เทียบกับ 15.8% ของ PepsiCo ด้านกลยุทธ์เพื่อสุขภาพ PepsiCo เลือกซื้อกิจการแบรนด์ใหม่ ส่วน Coca-Cola มุ่งพัฒนาโปรดักต์จากภายในองค์กร
เทียบกับ Ichitan Group (ICHITAN): Ichitan ก่อตั้งโดยตัน ภาสกรนที ในปี 2010 และเติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดเครื่องดื่มของไทย ด้วยโครงสร้างธุรกิจที่มุ่งเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภท ทั้งชาพร้อมดื่ม และน้ำผลไม้ โดยมีจุดแข็งด้านความเข้าใจผู้บริโภคไทยและเครือข่ายการกระจายสินค้าที่เข้าถึงทั่วประเทศ
ทั้ง Coca-Cola และ Ichitan ต่างเป็นผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม พร้อมปรับตัวตามเทรนด์สุขภาพด้วยการพัฒนาเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลต่ำและตอบโจทย์ผู้บริโภครุ่นใหม่ ความแตกต่างสำคัญ คือ Coca-Cola เป็นแบรนด์ระดับโลกที่เน้นเฉพาะธุรกิจเครื่องดื่ม โดยใช้การรีเฟรชภาพลักษณ์ผ่านสูตรน้ำตาลต่ำและบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน ในขณะที่ Ichitan ใช้ความคล่องตัวในการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ อย่างรวดเร็วเพื่อเจาะตลาดเฉพาะกลุ่มและสร้างแบรนด์ให้ติดตลาดภายในประเทศ
Coca-Cola เผชิญกับความท้าทายสำคัญจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันไปใส่ใจสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้ยาลดน้ำหนัก GLP-1 ที่ลดการบริโภคเครื่องดื่มอัดลมและแอลกอฮอล์ อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ปรับตัวด้วยการขยายพอร์ตโฟลิโอสู่เครื่องดื่มโปรตีนและน้ำดื่มที่ผู้ใช้ยาเหล่านี้ต้องการมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงจากข้อพิพาททางภาษีกับ IRS (Internal Revenue Service) ที่อาจส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องและการจ่ายเงินปันผล รวมถึงแรงกดดันจากกลุ่มผู้บริโภคเรื่องการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกและการปล่อยคาร์บอน ซึ่งบริษัทได้ตอบสนองด้วยการลงทุนในเทคโนโลยีรีไซเคิลและพลังงานหมุนเวียน
อนาคตของ Coca-Cola มีโอกาสในการเติบโตจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะการขยายตัวในตลาดเครื่องดื่มโปรตีนและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่มีอัตราการเติบโตสูง การเข้าซื้อกิจการ BodyArmor และการพัฒนาแบรนด์ Fairlife ทำให้บริษัทมีส่วนแบ่งที่แข็งแกร่งในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เติบโตเร็วเหล่านี้ การขยายตัวในตลาดเอเชียและแอฟริกาที่มีประชากรหนุ่มสาวและกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นยังเป็นโอกาสสำคัญ ด้านนวัตกรรม การพัฒนาเครื่องดื่มฟังก์ชันและการใช้เทคโนโลยี AI ในการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคจะช่วยสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน รวมถึงการร่วมมือกับพันธมิตรในการพัฒนาเทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์ยั่งยืนที่จะเป็นจุดขายสำคัญในอนาคต
สนใจลงทุนในหุ้น Coca-Cola (Ticker: KO หรือ DR: KO80 ) และหุ้นเครื่องดื่มอื่น ๆ เปิดประสบการณ์ลงทุนไร้ขีดจำกัดกับแอป InnovestX! เข้าถึง 23 ประเทศ 31 ตลาดทั่วโลกได้ง่าย ๆ แค่ปลายนิ้ว เปิดบัญชีลงทุน คลิกเลย! 👉 https://innovestx.onelink.me/23if/2jlpsi7b
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษา ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน