Keyword
Company History

GE Aerospace (GE): ตำนาน 110 ปี ผู้บุกเบิกเครื่องยนต์เจ็ต อึดทึกทนทุกพายุ จากสงครามโลกถึงสงครามภาษีทรัมป์

23 Jul 25 10:13 AM
GE Aerospace (GE): ตำนาน 110 ปี ผู้บุกเบิกเครื่องยนต์เจ็ต อึดทึกทนทุกพายุ จากสงครามโลกถึงสงครามภาษีทรัมป์
สรุปสาระสำคัญ

GE Aerospace (GE) บริษัทเทคโนโลยีการบินและอวกาศสัญชาติอเมริกัน ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) ไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้ผลิตเครื่องยนต์เครื่องบินทั่วไป แต่คือรากฐานของอุตสาหกรรมการบินสมัยใหม่ที่เป็นผู้บุกเบิกเครื่องยนต์เจ็ตเครื่องแรกของสหรัฐอเมริกา ด้วยประวัติศาสตร์กว่า 110 ปีในการพัฒนาเทคโนโลยีการบิน ตั้งแต่การคิดค้นเทอร์โบซูเปอร์ชาร์จสำหรับเครื่องบินในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ไปจนถึงเครื่องยนต์เจ็ตที่ทรงพลังที่สุดในโลกอย่าง GE90-115B และเครื่องยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง GE9X สำหรับ Boeing 777X GE Aerospace จึงเป็นผู้นำที่ไม่มีใครเทียบได้ในอุตสาหกรรมการบินและอวกาศ ด้วยฐานติดตั้งมากกว่า 49,000 เครื่องยนต์เครื่องบินพาณิชย์และ 29,000 เครื่องยนต์เครื่องบินทหารทั่วโลก

 

GE Aerospace เผชิญต้นทุนจาก Tariff สูงถึง 500 ล้านดอลลาร์ในปี 2025 แต่สามารถรับมือได้ผ่านกลยุทธ์การขึ้นราคาสินค้า (tariff surcharge) และอาศัยความต้องการในบริการหลังการขายของลูกค้า ทำให้ยังสามารถรักษาการเติบโตของรายได้และกำไรสุทธิได้อย่างต่อเนื่อง แม้จะเป็นต้นทุนโดยตรง แต่ Tariff ยังส่งผลบวกทางอ้อม โดยช่วยลดการแข่งขันจากผู้ผลิตต่างชาติ เนื่องจากภาษีนำเข้าทำให้ต้นทุนของคู่แข่งจากต่างประเทศสูงขึ้นและต้องปรับราคาสินค้าตาม ส่งผลให้ GE ซึ่งมีฐานการผลิตในสหรัฐฯ ได้เปรียบด้านราคาและการเข้าถึงตลาดภายในประเทศ นอกจากนี้ Tariff ยังเป็นอุปสรรคเชิงโครงสร้างที่ทำให้ผู้ผลิตจากเม็กซิโก แคนาดา และยุโรป เข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ ได้ยากขึ้น ช่วยให้ GE รักษาฐานลูกค้าได้มั่นคงยิ่งขึ้น ประกอบกับฐานเครื่องยนต์กว่า 70,000 เครื่องทั่วโลกที่สร้างรายได้ต่อเนื่องจากบริการหลังการขาย GE Aerospace จึงสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขัน แม้ต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้น สะท้อนถึงความยืดหยุ่นเชิงกลยุทธ์และจุดแข็งเชิงโครงสร้างของบริษัทในระยะยาว

จากผู้บุกเบิกสงครามโลกสู่ยุคเจ็ต 

 

GE Aerospace มีรากฐานลึกซึ้งในประวัติศาสตร์การบิน เริ่มต้นจากวิสัยทัศน์ด้านนวัตกรรมของ Thomas Edison ผู้ให้กำเนิดหลอดไฟและร่วมก่อตั้งบริษัท General Electric (GE) ในปี 1892 ก่อนที่ GE จะขยายจากธุรกิจไฟฟ้าไปสู่เทคโนโลยีชั้นสูง รวมถึงอุตสาหกรรมอากาศยาน ในปี 1917 GE เข้าสู่วงการการบินอย่างเป็นทางการเมื่อได้รับมอบหมายจากรัฐบาลสหรัฐฯ ให้พัฒนาเทอร์โบซูเปอร์ชาร์จสำหรับเครื่องยนต์เครื่องบินในสงครามโลกครั้งที่ 1 และในปี 1942 GE สร้างเครื่องยนต์เจ็ตต้นแบบรุ่น I-A ได้สำเร็จ ซึ่งใช้กับเครื่องบิน Bell XP-59A นำสหรัฐฯ เข้าสู่ยุคเจ็ตอย่างเต็มตัว

 

ต่อมา GE Aerospace ขยายสู่ตลาดพาณิชย์ในปี 1971 ด้วยเครื่องยนต์ CF6-6 และร่วมทุนกับ Safran ตั้งบริษัท CFM International ในปี 1974 เพื่อผลิตเครื่องยนต์ยอดนิยมอย่าง CFM56 และ LEAP

 

ในช่วงหลายทศวรรษ GE เคยเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่ทำหลายธุรกิจ (Conglomerate) ทั้งพลังงาน สุขภาพ การเงิน และการบิน แต่ต่อมาได้ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ โดยแยกธุรกิจสุขภาพเป็น GE HealthCare และธุรกิจพลังงานเป็น GE Vernova จนในปี 2024 GE Aerospace กลายเป็นธุรกิจหลักเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ภายใต้ชื่อ GE และยังจดทะเบียนในตลาดหุ้นนิวยอร์ก (NYSE: GE) สะท้อนการเปลี่ยนผ่านสู่บริษัทเฉพาะทางด้านอุตสาหกรรมการบินระดับโลกอย่างแท้จริง

 

 

โครงสร้างรายได้

 

GE Aerospace มีโครงสร้างรายได้แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มธุรกิจหลัก:

 

1. Commercial Engines & Services (CES) -73% ของรายได้รวม

ธุรกิจเครื่องยนต์และบริการเครื่องบินพาณิชย์ที่เป็นแกนหลักของบริษัท ครอบคลุมการผลิตเครื่องยนต์ใหม่ การบริการซ่อมบำรุง อะไหล่ และบริการภาคสนาม กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่งจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการบินหลังโควิด-19 และการเพิ่มขึ้นของการเดินทางทางอากาศทั่วโลก โดยเฉพาะในส่วนของบริการที่มีอัตรากำไรสูง

 

2. Defense & Propulsion Technologies (DPT) -23% ของรายได้รวม

ธุรกิจเครื่องยนต์และเทคโนโลยีการขับเคลื่อนสำหรับการป้องกันประเทศ ครอบคลุมเครื่องยนต์เครื่องบินรบ เฮลิคอปเตอร์ทหาร และระบบขับเคลื่อนต่างๆ กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตอย่างมั่นคงจากงบประมาณกลาโหมของประเทศต่างๆ และความต้องการเทคโนโลยีการป้องกันที่ทันสมัย

 

3. อื่นๆ -4% ของรายได้รวม

หมวดนี้ประกอบด้วยรายได้จากกิจกรรมที่ไม่ใช่ core business ได้แก่ บริการอื่นๆ, ประกันภัย

 

 

GE-PIE.png

 

โครงสร้างรายได้ที่เน้นไปที่ธุรกิจบริการช่วยให้ GE Aerospace มีกระแสเงินสดที่มั่นคงและผลตอบแทนที่คาดเดาได้ เนื่องจากเครื่องยนต์ที่ขายไปแล้วจะต้องได้รับการบริการตลอดอายุการใช้งาน 20-30 ปี

 

 

กลยุทธ์การเติบโตและจุดแข็งของ GE Aerospace

 

GE Aerospace วางกลยุทธ์การเติบโตผ่านการพัฒนาเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า โดยใช้ระบบ FLIGHT DECK ซึ่งก็คือห้องนักบินที่รวมระบบควบคุม การนำทาง และจอแสดงผลไว้ในที่เดียว เพื่อปรับปรุงความปลอดภัย คุณภาพ การส่งมอบ และต้นทุน การลงทุนวิจัยและพัฒนามากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในแต่ละปีช่วยให้บริษัทรักษาความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี จุดแข็งที่โดดเด่นคือฐานติดตั้งเครื่องยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มากกว่า 78,000 เครื่องทั้งเครื่องบินพาณิชย์และการทหาร ซึ่งสร้างรายได้จากบริการอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ความเชี่ยวชาญในการพัฒนาเครื่องยนต์ขนาดใหญ่และเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงอย่างการผลิตแบบ Additive Manufacturing (กระบวนการผลิตชิ้นงานโดยการเติมวัสดุทีละชั้นจนได้รูปร่างสุดท้าย) และส่วนประกอบ Ceramic Matrix Composite (CMC) ทำให้ GE Aerospace มีความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างชัดเจน

 

 

เปรียบเทียบกับคู่แข่งระดับโลก

 

เทียบกับ Safran S.A. (SAF) ในประเทศฝรั่งเศส: Safran S.A. คือบริษัทอุตสาหกรรมอากาศยานจากฝรั่งเศส ดำเนินธุรกิจระดับโลกด้านเครื่องยนต์เครื่องบิน ระบบอวกาศ และอุปกรณ์การบินทั้งพาณิชย์และการทหาร เป็นหนึ่งในผู้นำของอุตสาหกรรมนี้ GE Aerospace และ Safran S.A. เหมือนกันตรงที่ทั้งสองเป็นผู้นำด้านเครื่องยนต์อากาศยาน มีบทบาททั้งการพัฒนา ผลิต และบริการหลังการขายเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบินพาณิชย์และการทหาร และยังร่วมกันถือหุ้นใน CFM International ผู้ผลิตเครื่องยนต์เจ็ตยอดนิยมอย่าง CFM56 และ LEAP ที่ใช้ใน Boeing 737 และ Airbus A320 จุดต่างคือ Safran มีธุรกิจที่หลากหลายกว่า เช่น ระบบลงจอด ภายในเครื่องบิน อุปกรณ์ป้องกันประเทศ และระบบอวกาศ ส่วน GE Aerospace เน้นเฉพาะเครื่องยนต์และบริการที่เกี่ยวข้องเป็นหลัก

 

 

เปรียบเทียบกับธุรกิจในประเทศไทย

 

เทียบกับ บริษัท ฟอร์ท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (FORTH): บริษัท ฟอร์ท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เริ่มจากธุรกิจตู้สาขาโทรศัพท์ ก่อนขยายสู่เทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร อิเล็กทรอนิกส์ และนวัตกรรมดิจิทัล เช่น ระบบเติมเงินมือถือ ตู้อัตโนมัติ ระบบชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า และบริการซ่อมบำรุงเครื่องบิน โดยจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่ปี 2548 GE Aerospace และ ฟอร์ท คอร์ปอเรชั่น ต่างมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีในสายงานของตน โดย GE เน้นเครื่องยนต์อากาศยานระดับโลก ส่วนฟอร์ทเน้นเทคโนโลยีโทรคมนาคมและระบบอัตโนมัติในไทย ทั้งสองมีบริการซ่อมบำรุงครบวงจร แต่ต่างกันที่ GE โฟกัสตลาดโลกและมาตรฐานสูงด้านเทคนิค ขณะที่ฟอร์ทยืดหยุ่นและตอบโจทย์ผู้บริโภคภายในประเทศ

 

 

ความท้าทายและความเสี่ยง

 

GE Aerospace เผชิญกับความท้าทายจากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในตลาดเครื่องยนต์เครื่องบิน โดยเฉพาะจากคู่แข่งในยุโรปและเอเชีย การพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานที่ซับซ้อนทำให้เสี่ยงต่อการหยุดชะงักของการผลิต ดังที่เกิดขึ้นในช่วงโควิด-19 ความผันผวนของราคาวัตถุดิบและการเปลี่ยนแปลงของกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมก็เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ นอกจากนี้การลงทุนในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ต้องใช้เงินทุนสูงและมีความไม่แน่นอนในผลตอบแทน

 

 

อนาคตและโอกาสของ GE Aerospace

 

อนาคตของ GE Aerospace มีแนวโน้มสดใสจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการบินและแนวโน้มการเติบโตของการเดินทางทางอากาศระยะยาว การพัฒนาเครื่องยนต์รุ่นใหม่ที่ประหยัดเชื้อเพลิงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เช่น โครงการ CFM RISE ที่อาจลดการใช้เชื้อเพลิงได้มากกว่า 20% จะเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตในอนาคต ความต้องการเครื่องบินใหม่ในตลาดเอเชียและแอฟริกาที่เติบโตเร็วยังเป็นโอกาสทองสำหรับการขยายธุรกิจ นอกจากนี้การพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับการบินแบบไฮบริดและไฟฟ้าจะเปิดตลาดใหม่ในอนาคต

 

สนใจลงทุนในหุ้น GE Aerospace (Ticker: GE) และหุ้นอุตสาหกรรมการบินและอวกาศอื่นๆ เปิดประสบการณ์ลงทุนไร้ขีดจำกัดกับแอป InnovestX! เข้าถึง 23 ประเทศ 31 ตลาดทั่วโลกได้ง่าย ๆ แค่ปลายนิ้ว เปิดบัญชีลงทุน คลิกเลย! 👉https://innovestx.onelink.me/23if/2jlpsi7b

 

คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษา ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน

 

Stocks Mentioned
GE.N
Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5