Hermès International (Euronext: RMS) บริษัทสินค้าหรูสัญชาติฝรั่งเศส ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ Euronext Paris ไม่ได้เป็นเพียงแบรนด์กระเป๋าหรูระดับโลก แต่ยังเป็นตำนานแห่งงานฝีมือ (Craftsmanship) ที่สืบทอดมากว่า 187 ปี ด้วยปรัชญาการผลิตแบบบูรณาการ (Integrated Artisanal Model) ที่ควบคุมทุกขั้นตอนตั้งแต่การคัดเลือกหนังดิบไปจนถึงผลิตภัณฑ์สำเร็จ Hermès สร้างความหายากและเอกลักษณ์ที่ไม่มีใครเทียบได้ ด้วยมาตรฐานสูงสุด Hermès จึงครองตำแหน่งผู้นำตลาดสินค้าหรูโลก และสร้างผลตอบแทนให้นักลงทุนอย่างต่อเนื่องด้วยอัตรากำไรที่แข็งแกร่ง
จากร้านหนังม้าสู่เจ้าแห่งความหรูหรา
Hermès เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 1837 โดย Thierry Hermès ในย่านฟอบูร์ แซงต์-โอโนเร่ กรุงปารีส เปิดร้านผลิตอานม้าและอุปกรณ์สำหรับการขี่ม้า เมื่อสังคมเปลี่ยนจากการใช้ม้าเป็นหลักไปสู่ยุครถยนต์ บริษัทจึงปรับตัวด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์หนังอื่น ๆ โดยยังคงรักษามาตรฐานงานฝีมือที่สูงที่สุด
ช่วงทศวรรษ 1920-1930 Hermès ขยายสู่ผลิตภัณฑ์แฟชั่นและเครื่องประดับ เปิดตัวกระเป๋า Kelly ที่ได้ชื่อมาจากเจ้าหญิงเกรซ เคลลี่ และกระเป๋า Birkin ที่เกิดจากการพบกันโดยบังเอิญระหว่างผู้บริหารกับนักร้อง Jane Birkin ในช่วงทศวรรษ 1980-1990 บริษัทเริ่มขยายสู่ธุรกิจเครื่องหอม เครื่องสำอาง และนาฬิกา พร้อมกับเปิดร้านใหม่ทั่วโลก
ปัจจุบัน Hermès ดำเนินธุรกิจภายใต้การนำของ Axel Dumas สมาชิกรุ่นที่ 6 จากตระกูลผู้ก่อตั้ง โดยยังคงรักษาค่านิยมดั้งเดิมในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงสุดผ่านงานฝีมือและวัตถุดิบชั้นเยี่ยม พร้อมควบคุมการผลิตทั้งหมดด้วยตนเอง
โครงสร้างรายได้และธุรกิจหลัก
Hermès มีโครงสร้างรายได้ที่กระจายความเสี่ยงได้ดีเยี่ยม แบ่งออกเป็น 6 กลุ่มธุรกิจหลัก
1. Leather Goods and Saddlery – 43% ของรายได้รวม
ธุรกิจหลักที่ครอบคลุมกระเป๋าผู้หญิงและผู้ชาย เครื่องหนังเดินทาง เครื่องหนังขนาดเล็ก และอุปกรณ์การขี่ม้าดั้งเดิม กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่งจากการขยายกำลังการผลิตและความต้องการที่สูงต่อเนื่อง โดยเฉพาะกระเป๋า Birkin และ Kelly ที่มีรายชื่อรอซื้อยาวนานหลายปี
2. Ready-to-wear and Accessories – 29% ของรายได้รวม
เสื้อผ้าสำเร็จรูปและเครื่องประดับที่ครอบคลุมเสื้อผ้าชายและหญิง เข็มขัด เครื่องประดับ ถุงมือ หมวก และรองเท้า กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตสูงจากความสำเร็จของคอลเลกชันแฟชั่นและการขยายฐานลูกค้าทั่วโลก
3. Other Hermès Sectors – 13% ของรายได้รวม
รวมธุรกิจเครื่องประดับ (Jewellery) และผลิตภัณฑ์สำหรับบ้าน (Home Universe) กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตสูงจากการขยายคอลเลกชันและการเพิ่มขึ้นของความต้องการสินค้าหรูสำหรับตกแต่งบ้าน
4. Silk and Textiles – 6% ของรายได้รวม
ผ้าไหมและสิ่งทอที่มีชื่อเสียงมาตั้งแต่อดีต รวมถึงผ้าพันคอ ผ้าคลุม และสิ่งทอต่าง ๆ กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตอย่างมั่นคงจากการสร้างสรรค์ลวดลายใหม่และการขยายตลาดในเอเชีย
5. Perfume and Beauty – 4% ของรายได้รวม
เครื่องหอมและเครื่องสำอางที่มีชื่อเสียง เช่น Terre d'Hermès และ Barénia กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตสูงจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่และการขยายตลาดความงาม
6. Watches – 4% ของรายได้รวม
นาฬิกาหรูที่โดดเด่นด้วยการออกแบบเฉพาะตัวและกลไกซับซ้อน กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตจากการมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ Complications และการขยายฐานลูกค้าผู้ชื่นชอบนาฬิกาหรู
7. Other Products – 2% ของรายได้รวม
กิจกรรมการผลิตให้กับแบรนด์อื่น และแบรนด์ย่อยอย่าง John Lobb, Saint-Louis และ Puiforcat
กลยุทธ์การเติบโตและจุดแข็งของ Hermès
Hermès วางกลยุทธ์การเติบโตผ่านการควบคุมทุกขั้นตอนการผลิตแบบบูรณาการ (Vertical Integration) ที่ทำให้สามารถรักษาคุณภาพและความหายากของผลิตภัณฑ์ได้ การขยายกำลังการผลิตด้วยการเปิดโรงงานหนังใหม่ทั่วฝรั่งเศสเป็นการลงทุนระยะยาวที่สำคัญ
จุดแข็งที่โดดเด่นที่สุดคือแบรนด์และความเป็นเอกลักษณ์ที่สร้างมาเป็นศตวรรษ การควบคุมห่วงโซ่อุปทานและการผลิตทำให้ Hermès สามารถรักษามาตรฐานคุณภาพสูงสุดและสร้างความหายากที่เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ การมีช่างฝีมือที่ผ่านการฝึกอบรมเฉพาะทางและการสืบทอดเทคนิคดั้งเดิมยังเป็นสินทรัพย์ที่มีค่าที่ไม่สามารถทดแทนได้
การเน้นความยั่งยืนและการเป็นนายจ้างที่มีความรับผิดชอบ รวมถึงการแบ่งปันผลกำไรกับพนักงานทั่วโลก ยังช่วยสร้างแรงจูงใจและความภักดีของบุคลากรที่เป็นหัวใจสำคัญของการผลิต
เปรียบเทียบกับคู่แข่งระดับโลก
เทียบกับ LVMH Moët Hennessy Louis Vuitton (MC.PA) ในฝรั่งเศส LVMH เป็นกลุ่มสินค้าหรูรายใหญ่ที่สุดในโลก ก่อตั้งจากการควบรวมระหว่างหลายแบรนด์ดัง ครอบคลุมแฟชั่นและหนัง (Louis Vuitton, Dior) เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (Hennessy, Moët) เครื่องหอมและเครื่องสำอาง (Sephora) และนาฬิกาเครื่องประดับ (TAG Heuer, Bulgari) ทั้งสองบริษัทเป็นผู้นำตลาดสินค้าหรูระดับโลกที่แข่งขันในหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะแฟชั่นและเครื่องหนัง LVMH ใช้กลยุทธ์การขยายผ่านการซื้อแบรนด์ต่าง ๆ มาสร้างจักรวรรดิสินค้าหรูที่หลากหลาย ขณะที่ Hermès เน้นการเติบโตแบบอินทรีย์ (Organic Growth) ผ่านการพัฒนาแบรนด์เดียวอย่างลึกซึ้ง ความแตกต่างสำคัญคือ LVMH มีความหลากหลายด้านผลิตภัณฑ์และตลาดที่กว้างขวาง ส่วน Hermès ยึดแนวทางความเป็นเอกลักษณ์และงานฝีมือแบบดั้งเดิม LVMH เน้นการเข้าถึงลูกค้าในวงกว้างผ่านการตลาดสมัยใหม่ ขณะที่ Hermès สร้างความหายากและเอกสิทธิ์ที่ทำให้ลูกค้าต้องรอเป็นปี
เปรียบเทียบกับธุรกิจในประเทศไทย
เทียบกับ บริษัท แพรนด้า จิวเวลรี่ จำกัด (มหาชน) (PDJ) แม้ไทยจะยังไม่มีแบรนด์สินค้าหรูที่เทียบเท่า Hermès โดยตรง แต่ PDJ เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องประดับทองคำและอัญมณีชั้นนำของไทย ด้วยแบรนด์ Pranda ที่มีชื่อเสียงในด้านการออกแบบและงานฝีมือระดับสูง มีร้านค้าปลีกทั่วประเทศและขยายสู่ตลาดต่างประเทศ ทั้งสองบริษัทมีจุดเหมือนกันในการเป็นผู้ผลิตสินค้าหรูที่เน้นคุณภาพและงานฝีมือในการสร้างผลิตภัณฑ์ พร้อมกับการควบคุมกระบวนการผลิตเพื่อรักษามาตรฐาน อย่างไรก็ตาม Hermès ครอบคลุมผลิตภัณฑ์หลากหลายกลุ่ม ตั้งแต่เครื่องหนัง แฟชั่น เครื่องหอม ไปจนถึงนาฬิกา ขณะที่ PDJ เฉพาะเจาะจงในตลาดเครื่องประดับและทองคำ Hermès สร้างความพิเศษผ่านความหายากและประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าศตวรรษ ส่วน PDJ เน้นการเข้าถึงลูกค้าทั่วไปด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลายทั้งราคาและดีไซน์
ความท้าทายและความเสี่ยง
Hermès เผชิญความท้าทายจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจส่งผลต่อกำลังซื้อของลูกค้าสินค้าหรู โดยเฉพาะในตลาดจีนที่เป็นแหล่งรายได้สำคัญ ข้อจำกัดด้านกำลังการผลิตจากการพึ่งพิงช่างฝีมือที่มีทักษะสูงและใช้เวลานานในการฝึกฝนอาจจำกัดการเติบโตในระยะสั้น ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนส่งผลกระทบต่อรายได้เนื่องจากมีการขายในหลายสกุลเงิน การรักษาความเป็นเอกลักษณ์และความหายากในขณะที่ต้องขยายการผลิตเป็นสมดุลที่ละเอียดอ่อน หากขยายเร็วเกินไปอาจเสียภาพลักษณ์ความหรูหรา
อนาคตและโอกาสของ Hermès
อนาคตของ Hermès มีแนวโน้มเติบโตจากแผนขยายโรงงานหนังใหม่ 3 แห่ง ที่ L'Isle-d'Espagnac, Loupes และ Charleville-Mézières ซึ่งจะเพิ่มกำลังการผลิตกระเป๋าหนังขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มเครื่องหอมอย่าง Barénia และคอลเลกชัน H24 มีโอกาสขยายฐานลูกค้าในกลุ่มวัยรุ่นและผู้บริโภครุ่นใหม่ที่หันมาสนใจเครื่องหอมระดับไฮเอนด์มากขึ้น โอกาสสำคัญอีกประการหนึ่งคือการขยายธุรกิจ Haute Bijouterie และ Home Universe ที่ยังมีศักยภาพเติบโตสูง โดยเฉพาะคอลเลกชัน "Les formes de la couleur" ที่ได้รับการตอบรับดีในตลาดเอเชีย การเติบโตของกลุ่มเศรษฐีใหม่ในตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะในประเทศอินเดีย เวียดนาม และประเทศในตะวันออกกลาง จะเป็นแหล่งรายได้ใหม่ที่สำคัญสำหรับการเติบโตระยะยาวของ Hermès
สนใจลงทุนในหุ้น Hermès (RMS.PA, HERMES80) และหุ้นสินค้าหรูอื่น ๆ เปิดประสบการณ์ลงทุนไร้ขีดจำกัดกับแอป InnovestX! เข้าถึง 23 ประเทศ 31 ตลาดทั่วโลกได้ง่าย ๆ แค่ปลายนิ้ว เปิดบัญชีลงทุน คลิกเลย! 👉https://innovestx.onelink.me/23if/2jlpsi7b
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษา ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน