ในโลกที่โรคภัยไข้เจ็บมีความซับซ้อนและรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งหรือโรคภูมิคุ้มกันผิดปกติ Johnson & Johnson (NYSE: JNJ) ยังคงยืนหยัดในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมสุขภาพระดับโลก บริษัทแห่งนี้ไม่เพียงผลิตสินค้าสุขภาพที่คุ้นเคยเท่านั้น แต่ยังเป็นเบื้องหลังของการพัฒนายาและเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ช่วยชีวิตผู้คนนับล้านทั่วโลก ปัจจุบัน Johnson & Johnson (JNJ) ขับเคลื่อนธุรกิจผ่านสองกลุ่มหลักคือ Innovative Medicine ซึ่งสร้างรายได้ถึง 60% โดยเน้นการพัฒนายานวัตกรรมในโรคมะเร็ง ภูมิคุ้มกัน และระบบประสาท และ MedTech ที่คิดเป็น 40% ของรายได้ โดยพัฒนาอุปกรณ์การแพทย์ขั้นสูง เช่น หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดและอุปกรณ์หัวใจ
กลยุทธ์ของ Johnson & Johnson (JNJ) คือการเติบโตอย่างยั่งยืนผ่านนวัตกรรม การซื้อกิจการเชิงกลยุทธ์ และการลงทุนวิจัยอย่างต่อเนื่อง โดยยึดหลักที่ให้ความสำคัญกับผู้ป่วยและคุณภาพเป็นศูนย์กลาง บริษัทมีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง จ่ายปันผลต่อเนื่อง และมีไปป์ไลน์ยานวัตกรรมในขั้นทดลองกว่า 20 โครงการ ขณะเดียวกันก็เร่งขยายขอบเขตธุรกิจ MedTech ผ่านการซื้อ Shockwave Medical และพัฒนาเทคโนโลยีผ่าตัดอัจฉริยะอย่าง VELYS
ประวัติและความเป็นมา
Johnson & Johnson (JNJ) ก่อตั้งในปี 1886 โดย Robert, James และ Edward Johnson ในนิวบรันสวิก รัฐนิวเจอร์ซีย์ เริ่มต้นด้วยการผลิตผลิตภัณฑ์ศัลยกรรมปลอดเชื้อที่ปฏิวัติวงการแพทย์ ในศตวรรษที่ 20 ขยายสู่สินค้าอุปโภคบริโภค เปิดตัวผลิตภัณฑ์ดังอย่าง Band-Aid (1920) และ Johnson’s Baby Powder (1893) JNJ เติบโตผ่านนวัตกรรมและการซื้อกิจการ กลายเป็นผู้นำระดับโลกในด้านเภสัชภัณฑ์ อุปกรณ์การแพทย์ และสุขภาพผู้บริโภค หน่วยงาน Janssen ก่อตั้งในปี 1953 พัฒนาการรักษาด้านมะเร็ง ภูมิคุ้มกัน และประสาทวิทยา ในปี 1982 เผชิญวิกฤต Tylenol แต่จัดการอย่างโปร่งใส ตั้งมาตรฐานการจัดการวิกฤต(Crisis management)ในปี 2023 แยกธุรกิจสุขภาพผู้บริโภคออกเป็น Kenvue มุ่งเน้นที่ Innovative Medicine และ MedTech ปัจจุบัน Johnson & Johnson (JNJ) ดำเนินงานทั่วโลก ด้วยปรัชญา Credo ที่เน้นผู้ป่วยและนวัตกรรม รักษาความมั่นคง
โครงสร้างรายได้และแห่งรายได้หลัก
ธุรกิจ Johnson & Johnson (JNJ) มุ่งเน้นสองธุรกิจหลักที่มีศักยภาพสูง:
1.Innovative Medicine (ยาและนวัตกรรม) – 60% ของรายได้
เป็นธุรกิจหลักที่ขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัท ครอบคลุมการพัฒนาและจำหน่ายยานวัตกรรมเฉพาะทางในหลายสาขา เช่น Oncology (มะเร็งวิทยา), Immunology (ภูมิคุ้มกันวิทยา) และ Neuroscience (ประสาทวิทยา) โดยมุ่งเน้นการพัฒนายารุ่นใหม่และการขยายเพิ่มเติมให้กับผลิตภัณฑ์เดิม รวมถึงการเสริมพอร์ตผ่านการเข้าซื้อกิจการด้านเทคโนโลยีชีวภาพ เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในตลาดยานวัตกรรมระดับโลก
2.MedTech (เทคโนโลยีทางการแพทย์) – 40% ของรายได้
เป็นอีกธุรกิจ Johnson & Johnson (JNJ) เน้นนวัตกรรมอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อยกระดับคุณภาพการรักษา ครอบคลุมกลุ่ม Cardiovascular (หัวใจและหลอดเลือด), Surgery (ศัลยกรรม) และ Vision (การมองเห็น) บริษัทพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ระบบหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด (Robotic-assisted surgery) และอุปกรณ์หัวใจรุ่นใหม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาและลดความซับซ้อนของขั้นตอนทางการแพทย์ ทำให้โครงสร้างรายได้ของ Johnson & Johnson (JNJ) มีความสมดุลระหว่างนวัตกรรมทางยาและเทคโนโลยีการรักษา
กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจและจุดแข็งของ Johnson & Johnson (JNJ)
Johnson & Johnson (JNJ) เป็นบริษัทสุขภาพชั้นนำของโลกที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี และความเชื่อมั่นในคุณภาพมายาวนาน กลยุทธ์ของบริษัทมุ่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านความเชี่ยวชาญในสองธุรกิจหลักและการดำเนินงานภายใต้ค่านิยมที่ให้ความสำคัญกับผู้คนเป็นศูนย์กลาง
1. การมุ่งเน้นในสองกลุ่มธุรกิจหลัก
Johnson & Johnson วางตำแหน่งตนเองเป็นผู้นำระดับโลกด้านนวัตกรรมสุขภาพ โดยขับเคลื่อนผ่านสองกลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ Innovative Medicine (ธุรกิจยานวัตกรรม) และ MedTech (ธุรกิจเทคโนโลยีการแพทย์) ครอบคลุมการรักษาโรคมะเร็ง โรคหัวใจ ระบบประสาท ไปจนถึงการใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดและเซลล์บำบัดขั้นสูง สร้างระบบนิเวศสุขภาพที่ครบวงจรและมีความต้องการต่อเนื่องในระยะยาว
2. การดำเนินธุรกิจโดยความสำคัญกับผู้ป่วยและคุณภาพ
กลยุทธ์ของบริษัท ที่เน้นความรับผิดชอบต่อผู้ป่วย แพทย์ และผู้บริโภคเป็นอันดับแรก มุ่งมั่นสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง ปลอดภัย และเข้าถึงได้ ในขณะเดียวกันยังรักษาสมดุลกับผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น ผ่านการลงทุนในงานวิจัยและพัฒนา (R&D) และการนำนวัตกรรมใหม่ ๆ มาสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง
3. การบริหารเงินทุนเพื่อความยั่งยืนและการเติบโต
บริษัทสามารถจ่ายเงินปันผลต่อเนื่อง สะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางการเงินและวินัยในการบริหารเงินทุน โดยมุ่งเน้นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ เช่น การเข้าซื้อกิจการเชิงนวัตกรรม และการขยายขีดความสามารถในการผลิตทั่วโลก
เปรียบเทียบกับคู่แข่งระดับโลก
เปรียบเทียบกับ Pfizer (PFE)
Johnson & Johnson (JNJ) และ Pfizer (PFE) เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเภสัชกรรมระดับโลกที่มีความเหมือนกันในหลายด้าน ทั้งคู่มีพอร์ตโฟลิโอที่หลากหลาย โดยครอบคลุมมะเร็งวิทยา ภูมิคุ้มกัน และวัคซีน ทำให้สามารถรับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจได้ดี ทั้งสองบริษัทเผชิญความท้าทายคล้ายกัน เช่น การหมดอายุสิทธิบัตรของยาหลัก โดยทั้ง Johnson & Johnson (JNJ) และ Pfizer (PFE) มุ่งเน้นนวัตกรรมผ่านการพัฒนายาใหม่และการซื้อกิจการ เช่น Johnson & Johnson (JNJ) ขยายผลิตภัณฑ์ด้านมะเร็งและประสาทวิทยา ส่วน Pfizer (PFE) เสริมความแข็งแกร่งในมะเร็งวิทยาด้วยการซื้อ Seagen ทั้งคู่ยังคงจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ ดึงดูดนักลงทุนที่ต้องการรายได้มั่นคง
อย่างไรก็ตาม Johnson & Johnson (JNJ) มีความได้เปรียบในด้านความมั่นคง ด้วยธุรกิจที่ครอบคลุมทั้งยา (Innovative Medicine) และอุปกรณ์การแพทย์ (MedTech) ซึ่งช่วยกระจายความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดยา ส่วน Pfizer (PFE) เน้นเภสัชกรรมเป็นหลัก ทำให้มีศักยภาพเติบโตสูงเมื่อฟื้นตัวจากความผันผวนของรายได้วัคซีน
เปรียบเทียบกับบริษัทไทย
เปรียบเทียบกับ Mega Lifesciences (MEGA)
ทั้ง Johnson & Johnson (JNJ) และ Mega Lifesciences (MEGA) เป็นบริษัทในอุตสาหกรรมสุขภาพแต่แตกต่างกันใน “โครงสร้างธุรกิจ” และ “กลยุทธ์การเติบโต” อย่างมีนัยสำคัญ
Johnson & Johnson (JNJ) เป็นบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ที่มีโมเดลธุรกิจแบบครอบคลุมตั้งแต่การวิจัย การผลิต ไปจนถึงการจำหน่ายในระดับโลก บริษัทขับเคลื่อนด้วยสองเสาหลักคือ Innovative Medicine และ MedTech โดยทุ่มงบมหาศาลในงานวิจัยและพัฒนา (R&D) เพื่อสร้างนวัตกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เช่น ยารักษามะเร็ง ยาเฉพาะทาง และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง
ในทางตรงกันข้าม MEGA ดำเนินธุรกิจสุขภาพและเภสัชกรรม เน้นพัฒนา ผลิต และจำหน่ายยา ได้แก่ Mega We Care (ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและยา OTC ภายใต้แบรนด์ของตนเอง) และ Maxxcare (ธุรกิจจัดจำหน่ายให้แบรนด์ต่างประเทศ)
อนาคตและโอกาสการเติบโต
ด้าน Innovative Medicine บริษัทมีความโดดเด่นในตลาดยาเฉพาะทาง โดยเฉพาะกลุ่ม มะเร็งวิทยา (Oncology) ที่ JNJ เป็นผู้นำระดับโลกจากความสำเร็จของยาหลักอย่าง DARZALEX, ERLEADA และ CARVYKTI พร้อมไปป์ไลน์ยาขั้นสูงกว่า 20 โครงการที่อยู่ระหว่างการทดลองทางคลินิก ซึ่งสะท้อนศักยภาพการเติบโตระยะยาว นอกจากนี้ยังลงทุนต่อเนื่องในกลุ่ม ระบบประสาท (Neuroscience) และ ภูมิคุ้มกันวิทยา (Immunology) เพื่อกระจายความเสี่ยงและเสริมความแข็งแกร่งของพอร์ตยาในอนาคต
ส่วน MedTech มุ่งขยายความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการแพทย์ ผ่านการเข้าซื้อกิจการ Shockwave Medical ที่มีเทคโนโลยี intravascular lithotripsy และการพัฒนา VELYS Robotic-Assisted Solution นวัตกรรมการผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ที่กำลังได้รับความนิยมทั่วโลก
โดยรวม JNJ ผสานจุดแข็งด้านนวัตกรรม ผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย และกลยุทธ์ขยายสู่เทคโนโลยีใหม่ ทำให้บริษัทมีศักยภาพเติบโตต่อเนื่อง และยังคงเป็นหนึ่งในหุ้นเฮลท์แคร์ชั้นนำที่เติบโตจริงในระยะยาว
ความเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง
แม้ Johnson & Johnson (JNJ) จะเป็นบริษัทสุขภาพระดับโลกที่มีความมั่นคงสูง แต่ยังเผชิญกับความเสี่ยงสำคัญที่อาจกระทบต่อรายได้และความเชื่อมั่นของนักลงทุนในระยะยาว โดยเฉพาะ ความเสี่ยงด้านการแข่งขันและสิทธิบัตร เนื่องจากอุตสาหกรรมยามีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ขณะเดียวกันยังมี ความเสี่ยงด้านห่วงโซ่อุปทานและปัจจัยภายนอก จากการพึ่งพาซัพพลายเออร์และโรงงานภายนอก ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ ปัญหาคุณภาพ หรือความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ นอกจากนี้ ความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีและไซเบอร์ ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การละเมิดข้อมูลหรือการใช้ AI ผิดพลาดอาจกระทบต่อชื่อเสียงและสร้างภาระทางกฎหมายในอนาคต.
สนใจลงทุนในหุ้น Johnson & Johnson (JNJ) และหุ้นเติบโตอื่น ๆ เปิดประสบการณ์ลงทุนไร้ขีดจำกัดกับแอป InnovestX! เข้าถึง 23 ประเทศ 31 ตลาดทั่วโลกได้ง่าย ๆ แค่ปลายนิ้ว เปิดบัญชีลงทุน
คลิกเลย! 👉 https://innovestx.onelink.me/23if/2jlpsi7b
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษา ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน