Kering (Ticker: KER.PA) จักรวรรดิแฟชั่นหรูจากฝรั่งเศสที่จดทะเบียนในตลาดหุ้น Euronext Paris คือผู้อยู่เบื้องหลังแบรนด์ระดับโลกที่หลายคนคุ้นเคย ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า Gucci ที่เซเลบฮอลลีวูดแย่งกันใส่ เสื้อผ้า Saint Laurent ที่ดูเก๋ไก๋ระดับโลก กระเป๋า Bottega Veneta ที่ไม่ต้องมีโลโก้แต่แพงหลักล้าน รองเท้า Balenciaga ที่วัยรุ่นทั่วโลกใฝ่ฝัน หรือเสื้อผ้า Alexander McQueen ที่มีดีไซน์สะดุดตา เงียบแต่ทรงพลัง การตัดสินใจครั้งเดียวจาก CEO สามารถเขย่าวงการแฟชั่นทั้งโลกได้ ปัจจุบัน Kering กำลังเผชิญกับจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ ด้วยการแต่งตั้ง Demna จาก Balenciaga มาเป็น Artistic Director คนใหม่ของ Gucci พร้อมกับการปรับโครงสร้างธุรกิจท่ามกลางความผันผวนของตลาดแฟชั่นหรู ทำให้นักลงทุนทั่วโลกจับตาดูว่า "ราชาแห่งแฟชั่นหรู" รายนี้จะสามารถพาแบรนด์กลับคืนสู่ความรุ่งโรจน์ได้อีกครั้งหรือไม่
Kering เริ่มต้นในชื่อ PPR (Pinault-Printemps-Redoute) ก่อตั้งโดย François Pinault เมื่อทศวรรษ 1960 จากธุรกิจไม้ก่อสร้างเล็กๆ ในเมือง Rennes ประเทศฝรั่งเศส ความสำเร็จมาจากการมองเห็นโอกาสและการขยายธุรกิจอย่างก้าวกระโดด โดยเริ่มจากการซื้อกิจการต่างๆ ตั้งแต่ห้างสรรพสินค้า Printemps ไปจนถึงบริษัทค้าปลีกใหญ่ๆ
จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่เกิดขึ้นเมื่อ François-Henri Pinault บุตรชายขึ้นมาบริหารและตัดสินใจขายธุรกิจค้าปลีกเดิมเพื่อโฟกัสไปที่ธุรกิจแฟชั่นหรูเต็มตัว โดยเริ่มต้นจากการเข้าซื้อ Gucci เมื่อปี 1999 ผ่านการต่อสู้กับ LVMH อย่างดุเดือด จากนั้นก็ขยายอาณาจักรด้วยการเข้าซื้อแบรนด์ชั้นนำต่อเนื่อง เช่น Yves Saint Laurent, Bottega Veneta, Balenciaga และ Alexander McQueen
ชื่อ "Kering" เปลี่ยนจาก PPR เมื่อปี 2013 โดยมาจากคำว่า "ker" ในภาษาบรีตัน แปลว่า "บ้าน" เพื่อสื่อความหมายถึงการเป็นบ้านของแบรนด์แฟชั่นชั้นนำทั่วโลก ปัจจุบัน Kering ถือเป็นผู้นำรายที่สองของโลกในธุรกิจของหรู รองจาก LVMH
โครงสร้างรายได้ของ Kering แบ่งออกเป็น 5 กลุ่มธุรกิจหลัก โดย
แบรนด์แฟชั่นหรูระดับท็อปที่ขยายฐานลูกค้าทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นและเซเลบริตี้
กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตสูงจากกระแส luxury experiential retail, การใช้ AI‑driven personalization และศักยภาพจากตลาด US
เน้นความเก๋ไก๋และเซ็กซี่แบบปาริเซียง ได้รับความนิยมในกลุ่มครีเอทีฟและคนดัง
กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตสูงจาก premiumization ของ consumer base และโมเดล direct-to-consumer ที่เพิ่ม engagement
ลีทเด่นในงานหนังทอและดีไซน์แบบมินิมอลระดับ high-end
กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตสูงจากแนวโน้ม “quiet luxury” และดีไซน์มินิมอลที่ตอบโจทย์ลูกค้าระดับบนอย่างชัดเจน
รวม Balenciaga, Alexander McQueen, Boucheron, Pomellato, Brioni ฯลฯ
กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตสูงจาก diversification ของพอร์ตโฟลิโอ และ rising interest ใน design-driven premium segment
ผลิตและจำหน่ายแว่นตาให้แบรนด์ในเครือและพันธมิตร พร้อมน้ำหอมจาก Creed
กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตสูงจาก eyewear market และการใช้ AI‑powered eyewear plus กลยุทธ์ vertical integration หลังควบกิจการ Lenti
Kering มีจุดแข็งในการสร้างและบริหารแบรนด์ระดับไฮเอนด์ผ่านการให้อิสระทางครีเอทีฟแก่แต่ละแบรนด์ ขณะเดียวกันก็ใช้ประโยชน์จากความร่วมมือในด้านการผลิต การจัดจำหน่าย และการจัดการซัพพลายเชน บริษัทเน้นการควบคุมคุณภาพตั้งแต่วัตถุดิบจนถึงผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้าย โดยเฉพาะงานหนังและผ้าที่ผลิตในอิตาลี
ด้านการขยายตลาด Kering มุ่งเน้นการเปิดร้านในทำเลศูนย์การค้าระดับพรีเมียมและย่านช็อปปิ้งหรูในเมืองสำคัญทั่วโลก ขณะเดียวกันก็ลงทุนในดิจิทัล แพลตฟอร์มและ omnichannel experience เพื่อเข้าถึงลูกค้ารุ่นใหม่
การแต่งตั้ง Demna มาจาก Balenciaga เป็น Artistic Director ใหม่ของ Gucci ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการฟื้นฟูแบรนด์หลัก โดยคาดหวังให้เขานำมุมมองใหม่และความสดใหม่มาสู่ Gucci ที่กำลังต้องการปรับภาพลักษณ์ให้ทันสมัยขึ้น
เทียบกับ LVMH (DR: LVMH01) ซึ่งเป็นผู้นำตลาดแฟชั่นหรูโลก ทั้งสองบริษัทมีรูปแบบธุรกิจที่แตกต่างกัน LVMH มีแบรนด์ครอบคลุมหลากหลายกลุ่มสินค้าตั้งแต่แฟชั่น น้ำหอม สุรา ไปจนถึงนาฬิการะดับไฮเอนด์ ขณะที่ Kering เน้นความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านแฟชั่นและเลเธอร์กูดส์เป็นหลัก LVMH มีการกระจายความเสี่ยงมากกว่าด้วยจำนวนแบรนด์ที่มากกว่า แต่ Kering กลับมีการโฟกัสและความเข้มแข็งในแต่ละแบรนด์มากกว่า
เทียบกับตลาดไทย แม้ในตลาดหุ้นไทยจะไม่มีบริษัทใดที่ทำธุรกิจเหมือนกับ Kering โดยตรง ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์แฟชั่นหรูอย่าง Gucci และ Saint Laurent แต่สามารถเปรียบเทียบกับ Central Retail Corporation (CRC) ได้ในแง่ของการบริหารแบรนด์และการค้าปลีกระดับพรีเมียม CRC ดำเนินธุรกิจโดยนำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าแบรนด์เนมต่างประเทศผ่านห้างสรรพสินค้าและร้านค้าปลีกในเครือ เช่น Central, Robinson และ CMG โดยมีจุดแข็งที่สำคัญคือการมีห้างค้าปลีกในต่างประเทศ เช่น Rinascente ในอิตาลีและ Illum ในเดนมาร์ก ซึ่งถือเป็น footprint ที่แข็งแกร่งในยุโรป แตกต่างจาก Kering ที่เป็นเจ้าของแบรนด์เองและควบคุมกระบวนการสร้างสรรค์ การตลาด และการจัดจำหน่ายได้แบบครบวงจร ขณะที่ CRC พึ่งพาความสัมพันธ์กับแบรนด์พันธมิตรระดับโลกเป็นหลัก
Kering เผชิญกับความท้าทายหลายประการ โดยเฉพาะการพึ่งพิง Gucci มากเกินไปซึ่งทำให้ผลประกอบการของบริษัททั้งหมดผันผวนตามความสำเร็จของแบรนด์นี้ การเปลี่ยนแปลงผู้กำกับศิลป์ที่ Gucci ก็เป็นความเสี่ยงที่ต้องบริหารอย่างระมัดระวัง เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อเอกลักษณ์และฐานลูกค้าเดิม การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากแบรนด์แฟชั่นใหม่และการเติบโตของ social media ที่ทำให้ลูกค้าเปลี่ยนใจเร็วขึ้น รวมถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนซึ่งเป็นตลาดสำคัญสำหรับสินค้าหรู ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และอัตราภาษีที่เปลี่ยนแปลงก็ส่งผลกระทบต่อต้นทุนและการกระจายสินค้าไปยังตลาดต่างๆ
แม้เผชิญความท้าทาย แต่ Kering ยังมีโอกาสเติบโตจากหลายปัจจัย การขยายตลาดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและอเมริกาใต้ที่ยังมีศักยภาพสูง การพัฒนาช่องทางออนไลน์และเทคโนโลยี virtual reality สำหรับประสบการณ์ช็อปปิ้งใหม่ รวมถึงการเติบโตของตลาดแฟชั่นยั่งยืนที่ Kering มีการลงทุนมาอย่างต่อเนื่อง การปรับโครงสร้างภายใต้การนำของ Demna อาจทำให้ Gucci กลับมาเติบโตได้ ขณะเดียวกันแบรนด์อื่นๆ อย่าง Bottega Veneta และ Saint Laurent ก็มีแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งต่อเนื่อง การลงทุนในธุรกิจแว่นตาและน้ำหอมที่มีอัตรากำไรสูงก็เป็นโอกาสในการสร้างรายได้เสริม
สนใจลงทุนในหุ้น Kering (KER.PA) และหุ้นแฟชั่นหรูอื่น ๆ จากทั่วโลกได้ง่าย ๆ ผ่านแอปพลิเคชัน InnovestX ที่ให้คุณเข้าถึงการลงทุนระดับโลกได้แบบไร้ขีดจำกัด
สนใจเปิดบัญชีลงทุน คลิก https://innovestx.onelink.me/23if/2jlpsi7b
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษา ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน