Keyword
Company History

PepsiCo (PEP) เจ้าแห่งน้ำอัดลมที่ดื่มแล้วฟินกันทั่วโลก ล่าสุดรุกธุรกิจนำเทรนด์รักสุขภาพ

27 Jun 25 10:44 AM
PepsiCo (PEP) เจ้าแห่งน้ำอัดลมที่ดื่มแล้วฟินกันทั่วโลก ล่าสุดรุกธุรกิจนำเทรนด์รักสุขภาพ
สรุปสาระสำคัญ

PepsiCo (PEP) บริษัทอาหารและเครื่องดื่มจากสหรัฐอเมริกา ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ กำลังสร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการอุตสาหกรรมอาหารโลก ด้วยการเป็นเจ้าของแบรนด์ดังหลายแบรนด์ เช่น Lay's, Doritos, Cheetos, Gatorade และ Tropicana ขณะที่หลายคนยังคิดว่า PepsiCo เป็นแค่บริษัทเครื่องดื่ม บริษัทแห่งนี้ได้ก้าวข้ามขีดจำกัดมาเป็นจักรวาลอาหารและเครื่องดื่มที่มีแบรนด์ชั้นนำกว่า 22 แบรนด์ที่สร้างรายได้เกินพันล้านดอลลาร์ต่อปี และมีการกระจายฐานธุรกิจที่หลากหลาย จนกลายเป็นหนึ่งในบริษัทอาหารที่มีความมั่นคงสูงที่สุดในโลก

จากร้านยาสู่จักรวาลแบรนด์โลก

 

ประวัติของ PepsiCo เริ่มต้นจากเภสัชกรหนุ่มชื่อ Caleb Bradham ในเมือง New Bern รัฐ North Carolina ที่เริ่มทดลองสูตรเครื่องดื่มต่าง ๆ ในร้านยาของเขา โดยหนึ่งในสูตรที่เขาพัฒนาขึ้นคือเครื่องดื่มที่เรียกว่า "Brad's Drink" ซึ่งประกอบด้วยน้ำอัดลม น้ำตาล วานิลลา น้ำมันหอมระเหย และถั่วโคลา ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น "Pepsi-Cola" ในปี ค.ศ. 1898 และจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1903 

 

ช่วงเวลาสำคัญของ PepsiCo มาถึงเมื่อบริษัทเผชิญกับการล้มละลายถึงสองครั้ง ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1923 และอีกครั้งในช่วงต้นทศวรรษ 1930 ก่อนที่จะถูกซื้อกิจการโดย Loft Candy Company และได้รับการบริหารจาก Charles G. Guth ที่นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ด้วยการเปิดตัวขวด 12 ออนซ์ในราคาเดียวกับคู่แข่งที่ขายขวด 6 ออนซ์ ทำให้ PepsiCo ได้เปรียบด้านคุณค่าและประสบความสำเร็จอย่างมากในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ

 

จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่เกิดขึ้นเมื่อ PepsiCo ควบรวมกิจการกับ Frito-Lay ผู้ผลิตขนมยอดนิยมของอเมริกาในปี ค.ศ. 1965 ทำให้กลายเป็น PepsiCo, Inc. และขยายขอบเขตธุรกิจจากเครื่องดื่มไปสู่อาหารและขนม ต่อมาบริษัทยังคงขยายพอร์ตโฟลิโอด้วยการซื้อกิจการแบรนด์ต่าง ๆ เช่น Mountain Dew ในปี1964, Tropicana ในปี 1998, Gatorade และ Quaker Oats ในปี 200 ทำให้ PepsiCo กลายเป็นบริษัทอาหารและเครื่องดื่มที่มีความหลากหลายที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

 

 

โครงสร้างรายได้ธุรกิจ

 

PepsiCo มีการกระจายรายได้ผ่าน 7 หน่วยธุรกิจหลัก ได้แก่:

 

  1. PepsiCo Beverages North America (PBNA) - 25% ของรายได้รวม

ธุรกิจเครื่องดื่มในทวีปอเมริกาเหนือที่ครอบคลุมเป๊ปซี่, Diet Pepsi, Mountain Dew, Gatorade และน้ำดื่ม Aquafina กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตจากการพัฒนาสูตรเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลน้อยและเพิ่มสารอาหารที่มีประโยชน์ ขณะที่ตลาดเครื่องดื่มกีฬา ก็ขยายตัวต่อเนื่อง ส่งผลดีต่อยอดขายผลิตภัณฑ์

 

  1. Frito-Lay North America (FLNA) - 23% ของรายได้รวม

 ธุรกิจขนมขบเคี้ยวในทวีปอเมริกาเหนือที่ประกอบด้วยแบรนด์ดังอย่าง Lay's, Doritos, Cheetos, และ Tostitos กลุ่มธุรกิจนี้มีการเติบโตจากเทรนด์การบริโภคขนมขบเคี้ยวที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่คน work from home มากขึ้น นอกจากนี้ การพัฒนารสชาติใหม่ๆ ยังช่วยกระตุ้นความสนใจของผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่อง

 

  1. PepsiCo International - 22% ของรายได้รวม

 ธุรกิจในตลาดต่างประเทศที่ครอบคลุมทั้งเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยว โดยเฉพาะในตลาดเอเชีย ยุโรป และลาตินอเมริกา กลุ่มธุรกิจนี้มีศักยภาพเติบโตสูงจากเทรนด์การขยายตัวของชนชั้นกลาง ในประเทศกำลังพัฒนา รวมถึงกระบวนการขยายตัวของเมือง ที่ทำให้ไลฟ์สไตล์การบริโภคเปลี่ยนแปลงไป

 

  1. Quaker Foods North America (QFNA) - 15% ของรายได้รวม

 ธุรกิจอาหารเช้าและขนมสุขภาพที่รวมแบรนด์ Quaker Oats, Life Cereal และ Rice-A-Roni กลุ่มธุรกิจนี้ได้รับประโยชน์จากเทรนด์กระแสการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ (health-conscious eating) ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอาหารเช้าสำเร็จรูป (on-the-go breakfast) ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่

 

  1. Latin America - 8% ของรายได้รวม

ธุรกิจในภูมิภาคลาตินอเมริกาที่มีโครงสร้างประชากรวัยหนุ่มสาวที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการขยายตัวของร้านค้าปลีกสมัยใหม่ ที่ช่วยเพิ่มช่องทางจัดจำหน่าย

 

  1. Europe - 4% ของรายได้รวม

ธุรกิจในยุโรปที่เน้นจากความต้องการผลิตภัณฑ์พรีเมียม ที่เพิ่มขึ้น และการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคในแต่ละท้องตลาด

 

  1. Asia, Middle East & Africa - 3% ของรายได้รวม

ธุรกิจในภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกาที่มีศักยภาพการเติบโตสูงจากการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล และจำนวนประชากรวัยทำงาน ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

asqq.png

 

กลยุทธ์การเติบโตและจุดแข็งของ PepsiCo

 

PepsiCo มีกลยุทธ์ "Better for You" และ "Good for You" ที่มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับเทรนด์สุขภาพของผู้บริโภคยุคใหม่ โดยลดปริมาณน้ำตาล เกลือ และไขมันในผลิตภัณฑ์ พร้อมทั้งเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ จุดแข็งที่สำคัญของ PepsiCo คือระบบจัดจำหน่าย (Distribution Network) ที่แข็งแกร่งและครอบคลุมทั่วโลก ทำให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ บริษัทยังมีความสามารถในการพัฒนาและการตลาดที่โดดเด่น ทำให้สามารถสร้างแบรนด์ที่มีอิทธิพลและรักษาส่วนแบ่งตลาดได้อย่างยั่งยืน การลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิตยังช่วยให้ PepsiCo สามารถควบคุมต้นทุนและรักษาคุณภาพผลิตภัณฑ์ได้อย่างสม่ำเสมอ

 

 

เปรียบเทียบกับคู่แข่งระดับโลก  

 

เทียบกับ The Coca-Cola Company (KO) ในสหรัฐอเมริกา: Coca-Cola ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1886โดยเริ่มต้นจากการคิดค้นเครื่องดื่มสูตรพิเศษที่ต่อมากลายเป็นเครื่องดื่มโค้กอันโด่งดัง ปัจจุบันบริษัทเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มระดับโลก ทั้ง Coca-Cola และ PepsiCo ต่างเป็นสองบริษัทเครื่องดื่มที่มีประวัติยาวนาน แข่งขันกันอย่างใกล้ชิด และต่างก็มีแบรนด์หลักที่ได้รับความนิยมสูงสุด รวมถึงใช้กลยุทธ์สร้างแบรนด์และขยายตลาดผ่านการตลาดที่สร้างสรรค์และการปรับตัวตามผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม ทั้งสองบริษัทมีความแตกต่างเชิงกลยุทธ์ที่ชัดเจน โดย Coca-Cola มุ่งเน้นธุรกิจเครื่องดื่มเป็นหลัก ทำให้มีอำนาจกำหนดราคาสูงและความภักดีต่อแบรนด์ แต่ต้องเผชิญความเสี่ยงจากกระแสสุขภาพและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค ขณะที่ PepsiCo เลือกกระจายความเสี่ยงด้วยการสร้างสมดุลรายได้ระหว่างธุรกิจเครื่องดื่มและอาหารขบเคี้ยว ส่งผลให้บริษัทมีความยืดหยุ่นและศักยภาพเติบโตในระยะยาวจากพอร์ตโฟลิโอที่หลากหลายกว่า

 

 

เปรียบเทียบกับธุรกิจในประเทศไทย 

 

เทียบกับ Osotspa (OSP): เป็นบริษัทไทยที่มีประวัติยาวนานกว่า 130 ปี เริ่มต้นจากร้านขายยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ ก่อนจะขยายเข้าสู่ตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังและยาแผนโบราณ โดยมีแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักอย่าง M-150, Shark และ Essence of Chicken PepsiCo และ Osotspa มีความเหมือนกันตรงที่เป็นผู้นำในตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค มีแบรนด์ที่แข็งแกร่งและมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม Osotspa มีจุดเด่นเรื่องการเข้าใจตลาดไทยและการสร้างผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผู้บริโภคในประเทศ ส่วน PepsiCo มีความได้เปรียบด้านขนาดธุรกิจ การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงการขยายตลาดในระดับโลก ทำให้ทั้งสองบริษัทมีบทบาทสำคัญแต่แตกต่างกันในเชิงกลยุทธ์และขอบเขตการดำเนินงาน

 

 

ความท้าทายและการแข่งขันในตลาด

 

PepsiCo ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการในปัจจุบัน โดยเฉพาะเทรนด์สุขภาพที่ทำให้ผู้บริโภคหันไปบริโภคเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลน้อยลงและขนมที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากขึ้น ความเป็นไปได้ในการเพิ่มภาษีเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลในหลายประเทศ อาจส่งผลกระทบต่อยอดขายและกำไร นอกจากนี้การแข่งขันที่รุนแรงจากแบรนด์ท้องถิ่นและแบรนด์ใหม่ที่เน้นความเป็นธรรมชาติและออร์แกนิค รวมถึงต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นจากภาวะเงินเฟ้อและปัญหาห่วงโซ่อุปทาน ล้วนเป็นปัจจัยที่ PepsiCo ต้องบริหารจัดการอย่างรอบคอบเพื่อรักษาการเติบโตและความสามารถในการทำกำไร

 

 

อนาคตและโอกาสของ PepsiCo

 

PepsiCo มีโอกาสในการขยายตัวอย่างต่อเนื่องโดยอาศัยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบสนองเทรนด์สุขภาพ เช่น ขนมที่ทำจากธัญพืชและพืชผัก เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของวิตามินและแร่ธาตุ รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การขยายตัวในตลาดเกิดใหม่โดยเฉพาะในเอเชียและแอฟริกา ที่ประชากรมีกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น ยังเป็นโอกาสสำคัญในการเติบโต การลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัลและการตลาดออนไลน์ จะช่วยให้ PepsiCo เข้าถึงผู้บริโภคยุคใหม่ได้ดีขึ้น ขณะที่การควบรวมกิจการกับแบรนด์สุขภาพและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งของพอร์ตโฟลิโอในระยะยาว

 

สนใจลงทุนในหุ้น PepsiCo (Ticker: PEP หรือ DR: PEP80) และหุ้นเทคโนโลยีอื่น ๆ เปิดประสบการณ์ลงทุนไร้ขีดจำกัดกับแอป InnovestX! เข้าถึง 23 ประเทศ 31 ตลาดทั่วโลกได้ง่าย ๆ แค่ปลายนิ้ว เปิดบัญชีลงทุน คลิกเลย! 👉https://innovestx.onelink.me/23if/2jlpsi7b

 

คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษา ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน

 

Stocks Mentioned
PEP.NB
Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5