Philip Morris International Inc. (NYSE: PM) บริษัทยาสูบสัญชาติอเมริกัน ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก ไม่ได้เป็นเพียงบริษัทยาสูบธรรมดาอีกต่อไป แต่กลายเป็นผู้บุกเบิกและผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์ไร้ควันระดับโลก ด้วยแบรนด์ต่างๆ เช่น IQOS (ระบบยาสูบให้ความร้อนและ ZYN ซองนิโคติน การเปลี่ยนผ่านครั้งยิ่งใหญ่นี้ทำให้ Philip Morris มีรายได้จากผลิตภัณฑ์ไร้ควันคิดเป็น 38% ของรายได้รวม
Philip Morris International เริ่มต้นจากการแยกธุรกิจระหว่างประเทศของ Altria Group ในปี 2008 หลังจากที่ Altria ตัดสินใจแยกธุรกิจภายในสหรัฐฯ ออกจากธุรกิจต่างประเทศ โดย Philip Morris International ได้รับสิทธิ์ในการจำหน่ายบุหรี่แบรนด์อย่าง Marlboro และ Parliament ไปยังกว่า 170 ประเทศทั่วโลก
จุดเปลี่ยนสำคัญเริ่มขึ้นในช่วงปี 2014-2016 เมื่อบริษัทเริ่มลงทุนอย่างจริงจังในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพลดลง ซึ่งนำไปสู่การเปิดตัว IQOS ในช่วงปี 2016-2017 ในประเทศญี่ปุ่นและอิตาลีเป็นตลาดทดสอบแรก โดย IQOS เป็นระบบยาสูบให้ความร้อนที่ไม่เผาไหม้ใบยาสูบ มีการศึกษาและพัฒนาเพื่อลดสารเคมีที่เป็นอันตรายเมื่อเทียบกับบุหรี่ธรรมดา
ในช่วงปี 2018-2020 Philip Morris ขยายการจำหน่าย IQOS ไปยังตลาดสำคัญอื่นๆ ในยุโรป เอเชีย และตะวันออกกลาง พร้อมกับการลงทุนในการสร้างโรงงานผลิต heatsticks (ผลิตภัณฑ์ยาสูบสำหรับ IQOS)
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นในปี 2022-2023 เมื่อบริษัทประกาศการซื้อกิจการ Swedish Match ซึ่งเป็นผู้ผลิต snus และผลิตภัณฑ์นิโคตินทางปากชั้นนำของสวีเดน ด้วยมูลค่า 16,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ การเข้าซื้อกิจการนี้เสร็จสิ้นในปี 2023 ทำให้ Philip Morris เข้าถึงตลาดสหรัฐฯ ผ่านแบรนด์ ZYN ซองนิโคตินอีกด้วย
Philip Morris มีโครงสร้างรายได้ที่แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มธุรกิจหลัก คิดเป็น 100% ของรายได้รวม:
1. Combustible Tobacco Products – 61% ของรายได้รวม
ธุรกิจบุหรี่แบบเผาไหม้ที่ยังคงเป็นแหล่งรายได้หลัก ครอบคลุมแบรนด์พรีเมียมอย่าง Marlboro และ Parliament แม้จะเผชิญกับแนวโน้มการลดลงของปริมาณการบริโภคบุหรี่ประมาณ 3% ต่อปี แต่บริษัทสามารถชดเชยด้วยการปรับราคาและแบรนด์พรีเมียมที่มีอำนาจการกำหนดราคาสูง
2. Smoke-Free Products (ไม่รวม Wellness and Healthcare) – 38% ของรายได้รวม
กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ไร้ควันหลักที่เติบโตแรงและมีอัตรากำไรสูง ประกอบด้วย: IQOS (ระบบยาสูบให้ความร้อน) ที่เป็นผู้นำตลาดระดับโลกและมีการขยายตลาดอย่างต่อเนื่อง ด้วยรายได้ต่อแพ็คที่สูงกว่าบุหรี่ทั่วไปค่อนข้างสูง ZYN (ซองนิโคติน) ที่เป็นแบรนด์ชั้นนำในตลาดสหรัฐฯ และมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง VEEV และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในกลุ่มบุหรี่ไฟฟ้าและอุปกรณ์ไร้ควัน กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่งจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น นโยบายภาครัฐที่สนับสนุนผลิตภัณฑ์ลดอันตราย และการขยายตัวสู่ตลาดใหม่ทั่วโลก
3. Wellness and Healthcare Products – 1% ของรายได้รวม
กลุ่มธุรกิจใหม่ที่เน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี รวมถึงผลิตภัณฑ์สำหรับการเลิกนิโคตินและผลิตภัณฑ์ wellness อื่นๆ แม้จะมีสัดส่วนรายได้น้อย แต่มีศักยภาพเติบโตสูงจากแนวโน้มการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก
Philip Morris วางกลยุทธ์การเปลี่ยนผ่านอย่างชัดเจนผ่านการลงทุนวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง การสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งในกลุ่มผลิตภัณฑ์ไร้ควัน และการขยายตลาดอย่างเป็นระบบ จุดแข็งหลักคือระบบนิเวศแบบครบวงจรตั้งแต่การวิจัยพัฒนา การผลิต ไปจนถึงการจัดจำหน่าย พร้อมกับฐานลูกค้าที่มีความภักดีสูงต่อแบรนด์ระดับโลกอย่าง Marlboro
การมีสถานะผู้นำในตลาด IQOS ช่วยให้บริษัทได้ประโยชน์จาก Economies of Scale และสามารถลงทุนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง เช่น IQOS ILUMA ที่จะเปิดตัวในสหรัฐฯ ขณะที่การซื้อ Swedish Match ทำให้ได้โครงข่ายจัดจำหน่ายในสหรัฐฯ และแบรนด์ ZYN มีการเติบโต
เทียบกับ British American Tobacco (LSE: BATS) ในสหราชอาณาจักร: BAT เป็นบริษัทยาสูบที่มีธุรกิจครอบคลุมบุหรี่หลายแบบ เช่น Vuse, Glo และ Velo โดยมีฐานธุรกิจแข็งแกร่งในยุโรปและตลาดเกิดใหม่
Philip Morris และ BAT ต่างเป็นผู้นำในการเปลี่ยนผ่านสู่ผลิตภัณฑ์ไร้ควัน แต่มีจุดแข็งที่แตกต่างกัน Philip Morris เด่นในด้านระบบยาสูบให้ความร้อนและซองนิโคติน ขณะที่ BAT แข็งแกร่งในบุหรี่ไฟฟ้า Philip Morris มีการลงทุนวิจัยพัฒนาที่เฉพาะเจาะจงและมี intellectual property ที่แข็งแกร่ง
เปรียบเทียบกับธุรกิจในประเทศไทย
เทียบกับ โรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง: แม้ว่าไม่มีบริษัทในตลาดหุ้นไทยที่สามารถเทียบได้โดยตรง โดยโรงงานยาสูบเป็นหน่วยงานของรัฐที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง มีหน้าที่ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาสูบในประเทศไทย ภายใต้นโยบายและข้อกำหนดของภาครัฐ
Philip Morris และโรงงานยาสูบต่างดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมยาสูบ แต่มีโครงสร้างและแนวทางการดำเนินงานที่แตกต่างอย่างชัดเจน Philip Morris เป็นบริษัทเอกชนข้ามชาติที่มุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนสู่ผลิตภัณฑ์ทางเลือกและมีการลงทุนในการวิจัยพัฒนาเพื่อขยายตลาดสู่ระดับสากล ขณะที่โรงงานยาสูบดำเนินงานในฐานะหน่วยงานของรัฐที่มุ่งเน้นการรักษาเสถียรภาพของตลาดภายในประเทศภายใต้กรอบนโยบายสาธารณะ ทั้งสองต้องเผชิญกับการควบคุมที่เข้มงวดจากหน่วยงานกำกับดูแลและแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของนโยบายสาธารณสุขระดับโลก
Philip Morris เผชิญความท้าทายจากการควบคุมของหน่วยงานกำกับดูแลที่เข้มงวดขึ้นในหลายประเทศ โดยเฉพาะกฎหมายเรื่องการป้องกันการผูกขาดและการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล การเปลี่ยนแปลงของกฎระเบียบเหล่านี้อาจส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจและโมเดลรายได้ นอกจากนี้ ความเสี่ยงจากคดีความต่างๆ และผลกระทบจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากบริษัทมีรายได้หลักเป็นสกุลเงินต่างประเทศ แต่มีต้นทุนส่วนหนึ่งเป็นดอลลาร์สหรัฐ การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในตลาดผลิตภัณฑ์ไร้ควันจากคู่แข่งรายใหม่ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม
อนาคตของ Philip Morris มีแนวโน้มเติบโตจากตลาดผลิตภัณฑ์ไร้ควันและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคทั่วโลก การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ไร้ควันอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการขยายตลาดสู่ประเทศที่ยังมีศักยภาพสูง การเปิดตัว IQOS ในสหรัฐฯ ด้วยเครื่อง ILUMA รุ่นใหม่จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นตลาดใหญ่ที่ Philip Morris ยังไม่สามารถขายบุหรี่ธรรมดาได้ ความแข็งแกร่งของแบรนด์ ZYN และการเพิ่มกำลังการผลิตจะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตต่อเนื่อง พร้อมกับโอกาสในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ wellness และสุขภาพในอนาคต
สนใจลงทุนในหุ้น Philip Morris International (PM) และหุ้นเทคโนโลยีอื่น ๆ เปิดประสบการณ์ลงทุนไร้ขีดจำกัดกับแอป InnovestX! เข้าถึง 23 ประเทศ 31 ตลาดทั่วโลกได้ง่าย ๆ แค่ปลายนิ้ว เปิดบัญชีลงทุน
คลิกเลย! 👉https://innovestx.onelink.me/23if/2jlpsi7b
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษา ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน