RTX Corporation (NYSE: RTX) บริษัทอากาศยานและการป้องกันจากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก เป็นผู้นำในการผลิตเครื่องยนต์อากาศยาน ระบบป้องกันภัย และเทคโนโลยีอวกาศที่ทันสมัย ทุกครั้งที่มีเครื่องบินที่ใช้เทคโนโลยี RTX ขึ้นบิน ประชากรโลกกว่าครึ่งหนึ่งจะได้รับการปกป้องจากผลิตภัณฑ์ป้องกันภัยของบริษัท และการปล่อยจรวดกว่า 90% ของโลกได้รับการสนับสนุนจากเทคโนโลยี RTX ด้วยพนักงานกว่า 185,000 คนทั่วโลกและงบในการทำวิจัยสูงถึง 225 พันล้านบาทต่อปี RTX จึงสามารถสร้างนวัตกรรมที่ช่วยรักษาความปลอดภัยและปกป้องผู้คนและประเทศต่างๆ ทั่วโลกและยังเชื่อมโยงผู้คนและสถานที่ต่างๆ ทั่วโลกผ่านเทคโนโลยีที่หลากหลาย ปัจจุบันบริษัทมี Backlog (ยอดขายที่รอการโอนและจะกลายเป็นเงินจริงในอนาคต) รวมกว่า 6.5 ล้านล้านบาท แสดงให้เห็นถึงความต้องการผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัทในระยะยาวอย่างแข็งแกร่ง
RTX Corporation ได้ประโยชน์ทางอ้อม (Indirect Benefit) จาก tariff โดยการมีฐานการผลิตในสหรัฐฯ และพันธมิตรระดับโลกที่หลากหลาย ช่วยให้บริษัทสามารถปรับตัวต่อข้อจำกัดทางภาษีและกฎระเบียบการค้าได้ดีกว่าคู่แข่ง นอกจากนี้ มาตรการ Tariff ทำให้คู่แข่งที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าชิ้นส่วนหรือวัตถุดิบจากภูมิภาคที่โดนภาษีสูง ต้นทุนอาจเพิ่มขึ้นและความเสี่ยงด้านซัพพลายเชนสูงขึ้น ส่งผลให้บริษัทขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพในการลงทุนและควบคุมต้นทุนอย่าง RTX สามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดและความสามารถในการแข่งขันไว้ได้
RTX Corporation เกิดขึ้นจากการควบรวมกิจการขนาดใหญ่ระหว่าง United Technologies Corporation กับ Raytheon Company ในปี 2020 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในการควบรวมกิจการที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมอากาศยานและการป้องกันประเทศ United Technologies เริ่มต้นจากการก่อตั้ง Pratt & Whitney ในปี 1925 ที่ปฏิวัติวงการการบินด้วยเครื่องยนต์ Wasp ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองบริษัทกลายเป็นผู้ผลิตเครื่องยนต์อากาศยานสำคัญของกองทัพสหรัฐฯ หลังสงครามขยายธุรกิจสู่อุตสาหกรรมอื่นอย่างการซื้อกิจการ Otis Elevator และ Carrier Corporation
Raytheon มีประวัติที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เริ่มต้นจากการประดิษฐ์ Electron Tube ซึ่งคืออุปกรณ์หลักที่ใช้ในการควบคุมการไหลของกระแสไฟฟ้าในวงจรต่างๆในปี 1922 ก่อนจะกลายเป็นผู้บุกเบิกเทคโนโลยีเรดาร์ในสงครามโลกครั้งที่สองซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของสงคราม ในช่วงสงครามเย็นทศวรรษ 1950-1980 Raytheon พัฒนาระบบขีปนาวุธขั้นสูงและระบบป้องกันภัยที่กลายเป็นหัวใจสำคัญของการป้องกันประเทศสหรัฐฯ การควบรวมกับ Hughes Aircraft ในปี 1997 ทำให้บริษัทมีเทคโนโลยีดาวเทียมและระบบสื่อสารขั้นสูง
การรวมตัวในปี 2020 จึงเป็นการรวมประสบการณ์และความเชี่ยวชาญกว่าศตวรรษในการสร้างเทคโนโลยีที่เปลี่ยนโลก ทำให้ RTX กลายเป็นบริษัทที่มีความสามารถครบวงจรตั้งแต่การผลิตเครื่องยนต์ที่ประหยัดเชื้อเพลิง ระบบนำทางและควบคุมที่ทันสมัย ไปจนถึงระบบป้องกันภัยและเทคโนโลยีอวกาศที่ล้ำหน้า
RTX มีโครงสร้างรายได้ที่หลากหลายและสมดุลระหว่างธุรกิจพาณิชย์และป้องกันประเทศ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มธุรกิจหลัก
1. Collins Aerospace - 35% ของรายได้รวม
ธุรกิจนี้ครอบคลุมผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลายสำหรับอากาศยานเชิงพาณิชย์และทางทหาร เช่น ระบบห้องนักบิน โครงสร้างอากาศยาน ระบบเครื่องยนต์ ระบบนำทาง ระบบสื่อสาร ระบบควบคุมการบิน และบริการหลังการขาย รวมถึงการบำรุงรักษาและซ่อมแซม กลุ่มธุรกิจนี้ได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของการเดินทางทางอากาศเชิงพาณิชย์ และความต้องการชิ้นส่วนและบริการหลังการขายที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากตลาดการบินเชิงพาณิชย์ที่กลับมาคึกคักและความต้องการในการอัปเกรดระบบต่างๆ
2. Pratt & Whitney - 36% ของรายได้รวม
ธุรกิจในด้านการออกแบบ ผลิต และให้บริการเครื่องยนต์อากาศยานสำหรับทั้งเครื่องบินพาณิชย์ เครื่องบินทางทหาร และเครื่องบินส่วนตัว โดยเฉพาะเครื่องยนต์ GTF (Geared Turbofan) ที่ประหยัดเชื้อเพลิงกว่าเครื่องยนต์แบบเดิมถึง 16-20% รวมถึงเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบินรบ F-35 แนวโน้มการเติบโตของกลุ่มนี้ขับเคลื่อนด้วยความต้องการเครื่องยนต์รุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับเครื่องบินพาณิชย์ และสัญญาการผลิตและการบำรุงรักษาเครื่องยนต์สำหรับกองทัพทั่วโลก
3. Raytheon - 31% ของรายได้รวม
กลุ่มธุรกิจนี้เป็นผู้พัฒนาและผู้ผลิตระบบป้องกันภัยทางอากาศ ระบบขีปนาวุธ ระบบเรดาร์ ระบบป้องกันอากาศยาน และเทคโนโลยีอวกาศและข่าวกรองต่างๆ ลูกค้าหลักคือหน่วยงานรัฐบาลและกองทัพทั่วโลก กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มการเติบโตที่มั่นคงและแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับอานิสงส์จากการเพิ่มขึ้นของงบประมาณด้านกลาโหมทั่วโลก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงดำเนินอยู่ และความต้องการระบบป้องกันที่ทันสมัยและเทคโนโลยีข่าวกรองขั้นสูงที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
RTX วางกลยุทธ์การเติบโตผ่านการพัฒนาเทคโนโลยีแบบครบวงจร โดยเน้นการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การลงทุนในเทคโนโลยี AI และ Machine Learning เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการบริการ รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีการขับเคลื่อนแบบไฮบริดและไฮโดรเจนเพื่ออนาคตของการบินที่ยั่งยืน จุดแข็งที่โดดเด่นของ RTX คือการมีฐานลูกค้าที่มั่นคงทั้งภาครัฐและเอกชน ระบบนิเวศที่เชื่อมต่อกันของผลิตภัณฑ์และบริการ ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีขั้นสูง และฐานะทางการเงินที่มั่นคงพร้อมกระแสเงินสดที่คล่องตัว การมี Backlog ขนาดใหญ่ทำให้บริษัทสามารถวางแผนการผลิตและการลงทุนในระยะยาวได้อย่างมั่นใจ
เมื่อเทียบกับ Lockheed Martin (LMT) ในสหรัฐอเมริกา: Lockheed Martin เป็นผู้รับเหมาด้านการป้องกันประเทศรายใหญ่ของโลกที่มีบทบาทเชิงยุทธศาสตร์สูงในด้านความมั่นคง บริษัทมีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาเครื่องบินรบขั้นสูง (เช่น F-35 Lightning II), ระบบขีปนาวุธ, ดาวเทียม และเทคโนโลยีป้องกันภัยทางอวกาศ โดยมีรายได้หลักจากหน่วยธุรกิจ 4 กลุ่ม ได้แก่ Aeronautics, Missiles and Fire Control, Rotary and Mission Systems และ Space Systems
ความเหมือนของ Lockheed Martin และ RTX คือทั้งสองบริษัทต่างเป็นแกนหลักของอุตสาหกรรมกลาโหมสหรัฐฯ ที่ลงทุนอย่างหนักในงานวิจัยและพัฒนา เพื่อผลักดันนวัตกรรมทางทหารขั้นสูง มีฐานลูกค้าเป็นรัฐบาลและองค์กรความมั่นคงขนาดใหญ่ทั่วโลก ทั้งคู่ทำงานร่วมกันในหลายโครงการ เช่น F-35 ที่ Lockheed Martin สร้างตัวเครื่อง ขณะที่ RTX (ผ่าน Pratt & Whitney) เป็นผู้ผลิตเครื่องยนต์หลัก และ Raytheon พัฒนาระบบเรดาร์และขีปนาวุธ อย่างไรก็ตามความแตกต่างที่สำคัญคือบทบาทในห่วงโซ่มูลค่า Lockheed Martin เป็นผู้พัฒนาและส่งมอบแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ เช่น เครื่องบินขับไล่ ระบบป้องกันทางอากาศ ในขณะที่ RTX เชี่ยวชาญด้านระบบย่อยอัจฉริยะที่ฝังอยู่ภายในแพลตฟอร์มอย่าง เครื่องยนต์, เรดาร์, ระบบควบคุมการบิน, ระบบอิเล็กทรอนิกส์ภายใน
เมื่อเทียบกับ KCE Electronics PCL (KCE): แม้ไทยจะยังไม่มีบริษัทที่มีโครงสร้างทางธุรกิจที่เหมือนกับ RTX โดยตรง แต่ KCE เป็นบริษัทในอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผลิตภัณฑ์แผงวงจรพิมพ์ (Printed Circuit Boards - PCBs) ชนิดพิเศษ โครงสร้างรายได้หลักของ KCE มาจากการจำหน่าย PCBs ให้กับลูกค้าในอุตสาหกรรมต่างๆ ทั่วโลก โดยมีสัดส่วนรายได้จากAutomotive PCBs (แผงวงจรพิมพ์สำหรับยานยนต์) เป็นสัดส่วนที่ใหญ่ที่สุด นอกจากนี้ KCE ยังผลิต PCBs สำหรับอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และโทรคมนาคม อุตสาหกรรม และการแพทย์อีกด้วย
ความเหมือน คือทั้งสองบริษัทเป็นส่วนหนึ่งของ supply chain ในอุตสาหกรรมการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูงระดับโลก ในขณะที่ KCE เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์พื้นฐานที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมที่เป็นผู้ผลิตขั้นสุดท้าย ทั่วโลก RTX เป็นบริษัทสำคัญระดับโลกด้านการผลิตเทคโนโลยีอากาศยานและระบบป้องกันประเทศ อย่างไรก็ตาม ความแตกต่าง คือ RTX เป็นบริษัทเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เน้นการวิจัย พัฒนา และผลิตชิ้นส่วนอากาศยาน เครื่องยนต์ ระบบอากาศยาน และระบบป้องกันภัย/อวกาศ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปที่มีมูลค่าสูงและซับซ้อน ในทางกลับกัน KCE เป็นธุรกิจการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีบทบาทเป็นผู้ผลิตแผงวงจรพิมพ์ ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ถูกนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปหลากหลายประเภท ไม่ใช่ผู้ผลิตครบวงจรเหมือน RTX
RTX เผชิญกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงของนโยบายรัฐบาลและงบประมาณด้านการป้องกันประเทศในประเทศต่างๆ การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากคู่แข่งในยุโรปและเอเชีย โดยเฉพาะในตลาดเครื่องยนต์อากาศยาน ความผันผวนของราคาวัตถุดิบและต้นทุนการผลิต รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมการบินหลังสถานการณ์โควิด-19 นอกจากนี้ความซับซ้อนของผลิตภัณฑ์และระยะเวลาในการพัฒนาที่ยาวนานอาจส่งผลต่อการแข่งขันในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
อนาคตของ RTX มีแนวโน้มสดใสจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการบิน การเพิ่มขึ้นของงบประมาณด้านป้องกันประเทศทั่วโลก และการพัฒนาเทคโนโลยีการบินยุคใหม่ การลงทุนในเทคโนโลยีเครื่องยนต์ไฮบริดและไฮโดรเจนจะช่วยให้บริษัทผู้นำในตลาดการบินที่ยั่งยืน ธุรกิจบริการซ่อมบำรุงมีศักยภาพเติบโตสูงจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนเครื่องบินที่ใช้งาน การขยายตัวของตลาดการบินในเอเชียและแอฟริกาเป็นโอกาสสำคัญสำหรับการเติบโตในระยะยาว
สนใจลงทุนในหุ้น RTX Corporation (Ticker: RTX) และหุ้นเติบโตอื่น ๆ เปิดประสบการณ์ลงทุนไร้ขีดจำกัดกับแอป InnovestX! เข้าถึง 23 ประเทศ 31 ตลาดทั่วโลกได้ง่าย ๆ แค่ปลายนิ้ว เปิดบัญชีลงทุน
คลิกเลย! 👉https://innovestx.onelink.me/23if/2jlpsi7b
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษา ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน