Walmart Inc. (WMT) หุ้นในตลาด NYSE ประเทศสหรัฐอเมริกา คือหนึ่งในยักษ์ใหญ่ค้าปลีก ที่น่าสนใจบริษัทนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่การเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตธรรมดา แต่กำลังปฏิวัติตัวเองให้เป็น "Tech-Powered Omnichannel Retailer" ที่ผนวกเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) การซื้อขายออนไลน์ (E-commerce) และบริการสมาชิก (Membership) เข้าด้วยกัน ขณะที่มีฐานลูกค้ากว่า 270 ล้านคนต่อสัปดาห์ในร้านค้ากว่า 10,750 แห่งทั่ว 19 ประเทศ ทำให้นักลงทุนระดับโลกจับตาเป็นหุ้นการค้าปลีกที่มีศักยภาพเติบโตระยะยาว
Walmart เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 1945 โดย Sam Walton ที่เมือง Bentonville รัฐ Arkansas ด้วยแนวคิดเรียบง่ายแต่ทรงพลัง "ช่วยให้ผู้คนประหยัดเงินและมีชีวิตที่ดีขึ้น" (Save Money and Live Better) โดยเน้นขายสินค้าคุณภาพดีในราคาที่ต่ำที่สุด.
จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่เกิดขึ้นในปี 1988 เมื่อ Walmart เปิด Supercenter แห่งแรก ที่รวมซุปเปอร์มาร์เก็ตและห้างสรรพสินค้าไว้ในที่เดียว สร้างแนวคิด "One-Stop Shopping" ที่ลูกค้าสามารถซื้อได้ทุกอย่างในสถานที่เดียว
ในช่วงทศวรรษ 1990-2000 บริษัทขยายธุรกิจสู่ระดับนานาชาติและพัฒนาห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ที่มีประสิทธิภาพสูง ขณะเดียวกันก็เริ่มลงทุนด้านเทคโนโลยีและ E-commerce อย่างจริงจัง โดยปรับเปลี่ยนตัวเองจาก "Wal-Mart Stores, Inc." เป็น "Walmart Inc." ในปี 2018 เพื่อสะท้อนการเป็นบริษัทเทคโนโลยีและค้าปลีกแบบครบวงจร
Walmart มีโครงสร้างรายได้ที่กระจายความเสี่ยงผ่าน 4 กลุ่มธุรกิจ ประกอบด้วย
โครงสร้างรายได้ที่หลากหลายนี้ช่วยลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่ง และสร้างกระแสรายได้ที่เสถียรผ่านช่องทางการขายที่แตกต่างกัน
Walmart มีจุดแข็งหลักจากกลยุทธ์ "Every Day Low Price " ที่ผนวกกับเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ผ่านการลงทุนด้าน AI และ Automation ในดำเนินการและการจัดการสินค้าคงคลัง ทำให้สามารถลดต้นทุนและส่งต่อผลประโยชน์ให้ลูกค้า
การพัฒนาระบบ Omnichannel เป็นอีกหนึ่งจุดแข็งสำคัญ ที่เชื่อมต่อการซื้อขายในร้าน การสั่งซื้อออนไลน์ การรับสินค้าหน้าร้าน และการจัดส่งถึงบ้านเข้าด้วยกัน โดยใช้ร้านค้ากว่า 4,600 แห่งเป็นศูนย์กระจายสินค้าสำหรับ E-commerce
การลงทุนในธุรกิจโฆษณาดิจิทัล Walmart Connect ที่เติบโตแรงกว่า 30% และการพัฒนาบริการสมาชิก Walmart+ ที่แข่งขันกับ Amazon Prime ได้อย่างใกล้ชิด ทำให้บริษัทสามารถสร้างรายได้จากช่องทางใหม่ที่มีอัตรากำไรสูงกว่าธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิม
นอกจากนี้ การขยายธุรกิจสุขภาพและบริการการเงิน รวมทั้งการร่วมมือกับ Symbotic ในการพัฒนาระบบคลังสินค้าอัตโนมัติ ยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งและสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง
เมื่อเปรียบเทียบกับ Costco Wholesale (COST): Walmart และ Costco ต่างเน้นราคาประหยัด แต่ใช้แนวทางที่ต่างกัน Costco ใช้โมเดลสมาชิก (Membership Model) ที่เน้นปริมาณและราคาต่ำมากแบบ “Bulk Purchase” ทำให้สามารถลดต้นทุนได้สูงและรักษาฐานลูกค้าประจำได้ดี ส่วน Walmart ใช้กลยุทธ์ "Everyday Low Price" โดยไม่จำเป็นต้องมีค่าสมาชิก และครอบคลุมสินค้าหลากหลายมากกว่าCostco มีข้อได้เปรียบด้านอัตรากำไรจากค่าสมาชิกที่มั่นคง แต่ Walmart มีฐานลูกค้าหลากหลายกว่าและเข้าถึงได้ง่ายกว่า ทำให้สามารถใช้หน้าร้านร่วมกับแพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อขยายบริการแบบ Last-Mile ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เมื่อเปรียบเทียบกับ CP Axtra Public Company Limited (CPAXT): ในตลาดไทย CP Axtra เป็นเจ้าของเครือข่ายค้าส่งและค้าปลีกขนาดใหญ่ เช่น Makro และ Lotus’s โดยบริษัทเน้นกลยุทธ์การสร้าง Ecosystem ค้าปลีกที่ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย CP Axtra เน้นการเสริมความแข็งแกร่งด้วยกลยุทธ์ “Hybrid Retail” ที่ผสานการขายหน้าร้านเข้ากับช่องทางออนไลน์ (Omni-channel) เช่น MakroClick และ Lotus’s Smart App ในขณะที่ Walmart พัฒนาเทคโนโลยีล้ำหน้า เช่น AI ในคลังสินค้า ระบบซื้อของอัตโนมัติ และการใช้ข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดซื้อและบริหารสินค้าแบบเรียลไทม์
Walmart ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจาก Amazon ในด้าน E-commerce และ Cloud Services ที่ต้องลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อไม่ให้ตกขบวน นอกจากนี้ การเติบโตของ E-commerce platforms จากประเทศจีนอย่าง Temu และ Shein ที่เสนอสินค้าราคาถูกมาก ก็สร้างแรงกดดันด้านราคาในหลายหมวดสินค้า
ความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดสหรัฐอเมริกามากถึง 68% ของรายได้ ทำให้อ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภคอเมริกัน รวมทั้งผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้าและสงครามการค้าที่อาจส่งผลต่อต้นทุนสินค้า
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันไปใช้บริการส่งอาหารและ Quick Commerce มากขึ้น ทำให้ Walmart ต้องปรับกลยุทธ์และลงทุนเพิ่มเติมในด้านการส่งของเร็วและบริการ Last-Mile Delivery เพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป
Walmart มีแผนการขยายตัวในตลาดเอเชียและตลาดเกิดใหม่ที่มีศักยภาพสูง โดยเฉพาะการลงทุนใน Flipkart และ PhonePe ในอินเดียที่คาดว่าจะเป็นตลาด E-commerce ที่ใหญ่ที่สุดในโลกในอนาคต การพัฒนาเทคโนโลยี AI และ Machine Learning เพื่อพยากรณ์ความต้องการและบริหารสินค้าคงคลังอย่างชาญฉลาด จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน
การขยายธุรกิจสุขภาพผ่านคลินิกใน Walmart Health Centers และบริการเภสัชกรรม มีโอกาสสร้างรายได้เพิ่มเติมจากตลาดสุขภาพที่มีมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ ขณะที่การพัฒนา Walmart+ ให้เป็นระบบนิเวศแบบครบวงจรสำหรับสมาชิก จะช่วยเพิ่มความผูกพันของลูกค้าและสร้างรายได้ที่เสถียร
การลงทุนในเทคโนโลยี Automation และ Robotics ร่วมกับ Symbotic คาดว่าจะช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานถึง 20% และเพิ่มความแม่นยำในการจัดการสินค้า ส่วนการพัฒนาระบบ Omnichannel ที่สมบูรณ์แบบจะช่วยให้ Walmart แข่งขันกับ Amazon ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สนใจลงทุนในหุ้น Walmart (Ticker: WMT) และหุ้นเติบโตอื่น ๆ จากทั่วโลกได้ง่าย ๆ ผ่านแอปพลิเคชัน InnovestX ที่ให้คุณเข้าถึงการลงทุนระดับโลกได้แบบไร้ขีดจำกัด สนใจเปิดบัญชีลงทุน คลิก https://innovestx.onelink.me/23if/2jlpsi7b
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษา ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน