จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ในปี 2010 ที่ Lei Jun และทีมผู้ก่อตั้งเพียง 7 คนตั้งใจจะทำให้เทคโนโลยีคุณภาพสูงให้เข้าถึงได้สำหรับทุกคน วันนี้ Xiaomi (XIAOMI23) ได้เติบโตเป็นยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีระดับโลกที่เชื่อมโยงชีวิตผู้คนทั่วโลกผ่านระบบนิเวศอัจฉริยะ Human × Car × Home จากสมาร์ตโฟนในมือ ไปจนถึงยานยนต์ไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของตัวเองอย่าง SU7 และ YU7 Series บริษัทไม่ได้เป็นเพียงผู้ผลิตสมาร์ตโฟนอีกต่อไป แต่เป็นผู้นำที่หลอมรวมเทคโนโลยี ฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์เข้าไว้ในระบบเดียวอย่างสมบูรณ์แบบ พร้อมวิสัยทัศน์สู่อนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและความยั่งยืน
อีกหนึ่งเสาหลักสำคัญของความสำเร็จคือ ระบบนิเวศ IoT ภายในบ้าน ซึ่งกลายเป็นหัวใจของแนวคิด Smart Living ของ Xiaomi ปัจจุบันมีอุปกรณ์เชื่อมต่อกว่า 989 ล้านชิ้นทั่วโลก ตั้งแต่สมาร์ตทีวี เครื่องฟอกอากาศ เครื่องดูดฝุ่นอัจฉริยะ ไปจนถึงอุปกรณ์สวมใส่และสมาร์ตปลั๊ก ทุกอย่างสามารถสั่งงานและเชื่อมต่อเข้าด้วยกันผ่านสมาร์ตโฟนและแพลตฟอร์ม AI ของบริษัท จุดเด่นของระบบนี้คือการทำให้เทคโนโลยีเข้าใจมนุษย์มากขึ้น ไม่ใช่เพียงตอบสนองคำสั่ง แต่เรียนรู้พฤติกรรมผู้ใช้ เช่นปรับอุณหภูมิ แสง และเสียงให้เหมาะกับชีวิตประจำวันโดยอัตโนมัติ นี่คือภาพของบ้านแห่งอนาคตที่ Xiaomi ทำให้เกิดขึ้นแล้วในวันนี้
สิ่งที่ทำให้เรื่องราวของ Xiaomi น่าตื่นตาคือการเดินทางจากแบรนด์คุ้มค่าสู่ บริษัทเทคโนโลยีระดับพรีเมียม ที่กล้าสร้างอนาคตด้วยนวัตกรรมของตนเอง ตั้งแต่ชิปขนาด 3 นาโนเมตร ไปจนถึงโมเดล AI ที่เรียนรู้พฤติกรรมมนุษย์ได้จริง Xiaomi กำลังพลิกโฉมโลกเทคโนโลยีที่เชื่อมชีวิตคนเข้ากับอุปกรณ์และยานยนต์อัจฉริยะอย่างไร้รอยต่อ สะท้อนให้เห็นถึงพลังของแบรนด์ที่ไม่เพียงตามทันโลกแต่กำลังขับเคลื่อนโลกไปข้างหน้า
ประวัติและความเป็นมาของ Xiaomi Corporation
Xiaomi Corporation ก่อตั้งขึ้นในปี 2010 โดย Lei Jun และทีมผู้ร่วมก่อตั้งอีก 7 คน ด้วยวิสัยทัศน์ในการทำให้เทคโนโลยีคุณภาพสูงเป็นสิ่งที่ทุกคนเข้าถึงได้ บริษัทเริ่มต้นจากการพัฒนา MIUI ระบบปฏิบัติการบนสมาร์ตโฟนที่เน้นการใช้งานง่ายและการอัปเดตต่อเนื่อง ก่อนจะเปิดตัวสมาร์ตโฟนเครื่องแรกในปี 2011 ซึ่งกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ Xiaomi กลายเป็นหนึ่งในแบรนด์สมาร์ตโฟนที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก
ตลอดระยะเวลากว่าทศวรรษที่ผ่านมา Xiaomi ได้ขยายธุรกิจจากสมาร์ตโฟนสู่ ระบบนิเวศอัจฉริยะ (Smart Ecosystem) ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ IoT กว่า 1,000 รายการ ตั้งแต่สมาร์ตทีวี เครื่องฟอกอากาศ ไปจนถึงอุปกรณ์สวมใส่ บริษัทมุ่งสร้าง Human × Car × Home ecosystem ที่เชื่อมโยงผู้คน อุปกรณ์ และยานยนต์อัจฉริยะเข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ ในปี 2021 Xiaomi ประกาศเข้าสู่ ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (Smart EV) อย่างเป็นทางการ และเพียงสามปีให้หลัง บริษัทได้เปิดตัว Xiaomi SU7 Series ซึ่งได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลาม และในปี 2025 ได้ขยายไลน์ด้วย Xiaomi YU7 Series ซึ่งใช้แพลตฟอร์ม 800V และเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติแบบ end-to-end ที่พัฒนาโดยทีม AI ของบริษัทเอง ทั้งนี้ Xiaomi ยังได้พัฒนาเทคโนโลยีหลักด้วยตนเอง เช่น ชิปประมวลผล Xiaomi XRING O1 (3nm) และโมเดลภาษาใหญ่ MiMo-7B และ MiMo-VL-7B เพื่อผลักดันขีดความสามารถด้าน AI ให้เป็นส่วนหนึ่งของทุกผลิตภัณฑ์ในระบบนิเวศ
จากบริษัทสตาร์ตอัปในปักกิ่ง วันนี้ Xiaomi ได้กลายเป็นหนึ่งใน ผู้นำเทคโนโลยีระดับโลก ที่มีผลิตภัณฑ์จำหน่ายในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก พร้อมติดอันดับ Top 3 ของผู้ผลิตสมาร์ตโฟนรายใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นบริษัทที่มุ่งมั่นสู่การพัฒนาเทคโนโลยีอย่างยั่งยืน ด้วยการลงทุนด้านนวัตกรรม AI ชิป และยานยนต์อัจฉริยะ ซึ่งสะท้อนถึงความก้าวหน้าในยุคที่ Xiaomi ไม่ได้เป็นเพียงแบรนด์สมาร์ตโฟน อีกต่อไป แต่เป็นบริษัทเทคโนโลยีครบวงจรที่ขับเคลื่อนด้วยวิสัยทัศน์และความทะเยอทะยานระดับโลก
โครงสร้างรายได้และแหล่งรายได้หลัก
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 ธุรกิจสมาร์ตโฟนของ Xiaomi สร้างรายได้ 96.1 พันล้านหยวน คิดเป็น 42.3% ของรายได้รวมทั้งหมด บริษัทสามารถรักษาความเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดโลกด้วยส่วนแบ่งประมาณ 14.4% และยอดจัดส่งกว่า 84.2 ล้านเครื่อง สะท้อนกลยุทธ์ Premiumization ที่เน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ระดับสูง เช่น Xiaomi 15S Pro และ Pad 7 Ultra ที่ใช้ชิปพัฒนาเองรุ่นใหม่ Xiaomi XRING O1 (3nm)
นอกจากนี้ การพัฒนาเทคโนโลยี AI และชิปในเครื่อง (On-device AI) ยังช่วยยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้ เช่น ฟีเจอร์ถ่ายภาพอัจฉริยะ ระบบผู้ช่วยเสียง Hyper XiaoAi และการเชื่อมโยงกับอุปกรณ์ IoT ภายในระบบนิเวศของ Xiaomi ทำให้บริษัทสามารถสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งและเพิ่มมาร์จิ้นในกลุ่มพรีเมียมได้อย่างมีนัยสำคัญ
กลุ่มธุรกิจ IoT และผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ ครอบคลุมผลิตภัณฑ์กว่า 1,000 รายการในระบบนิเวศ Smart Living ตั้งแต่อุปกรณ์สวมใส่ (smart bands, watches) สมาร์ตทีวี Xiaomi Box ไปจนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ถูกออกแบบให้ทำงานร่วมกับสมาร์ตโฟนและแพลตฟอร์ม AI ของบริษัทอย่างไร้รอยต่อ
Xiaomi ยังเน้นการสร้างประสบการณ์ Human × Home ผ่านอุปกรณ์เชื่อมต่อกว่า 989 ล้านชิ้น ภายในระบบนิเวศ และผู้ใช้งาน MAU ทั่วโลกกว่า 731 ล้านคน ซึ่งตอกย้ำความแข็งแกร่งของแบรนด์ในตลาดสมาร์ตดีไวซ์ นอกจากนี้ บริษัทยังพัฒนาอุปกรณ์ใหม่ๆ อย่าง Xiaomi AI Glasses ที่ใช้เทคโนโลยีแปลภาษาและปฏิสัมพันธ์หลายรูปแบบ เพื่อขยายขอบเขตของอุปกรณ์ IoT ให้ก้าวไปไกลกว่าความเป็น เครื่องใช้ในบ้านสู่การเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตดิจิทัล
รายได้จากบริการอินเทอร์เน็ตครอบคลุมบริการโฆษณาออนไลน์ เกม คอนเทนต์ การสมัครสมาชิก และบริการบนแพลตฟอร์มต่างๆ ของ Xiaomi ซึ่งรองรับผู้ใช้งานทั่วโลกกว่า 700 ล้านราย บริษัทมุ่งพัฒนาโมเดลธุรกิจที่สร้างรายได้ต่อเนื่องจากผู้ใช้งานอุปกรณ์ IoT และสมาร์ตโฟนภายในระบบนิเวศของตนเอง นอกจากนี้ การผสานเทคโนโลยี AI และคลาวด์ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการแนะนำคอนเทนต์ การค้นหา และบริการดิจิทัลต่างๆ เพื่อเพิ่มเวลาใช้งาน (user engagement) และอัตราการใช้จ่ายต่อผู้ใช้ (ARPU) ส่งผลให้กลุ่มบริการอินเทอร์เน็ตเป็นอีกหนึ่งเสาหลักของกำไรขั้นต้นที่มีมาร์จิ้นสูงและเสริมความยั่งยืนให้กับโมเดลธุรกิจของ Xiaomi
กลุ่มธุรกิจใหม่ของ Xiaomi ซึ่งรวมถึง ยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart EV), ปัญญาประดิษฐ์ (AI), และโครงการเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยมีรายได้หลักมาจาก Xiaomi SU7 และ YU7 Series ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียมที่ใช้แพลตฟอร์ม 800V และระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติแบบ End-to-End ที่พัฒนาเองภายในบริษัท
ในครึ่งแรกของปี 2025 Xiaomi ส่งมอบรถยนต์แล้วกว่า 157,171 คัน และขยายศูนย์จำหน่ายและบริการรวม 335 แห่งใน 92 เมืองทั่วจีน ธุรกิจสมาร์ตอีวีจึงกลายเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตใหม่ที่สะท้อนยุทธศาสตร์ Human × Car × Home อย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ บริษัทมีมาร์จิ้นของกลุ่มนี้สูง แสดงถึงความสามารถในการแข่งขันด้านเทคโนโลยีและประสิทธิภาพการผลิต ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการขยายสู่ตลาดยานยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกในอนาคต
กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจและจุดแข็ง
Xiaomi มุ่งขับเคลื่อนกลยุทธ์ Premiumization เพื่อเปลี่ยนภาพลักษณ์จากแบรนด์สมาร์ตโฟนคุ้มราคา สู่แบรนด์เทคโนโลยีระดับพรีเมียมที่แข่งขันได้ในตลาดโลก บริษัทลงทุนอย่างต่อเนื่องใน นวัตกรรมฮาร์ดแวร์ ชิปเซตพัฒนาเอง และเทคโนโลยี AI เพื่อสร้างประสบการณ์ผู้ใช้ที่แตกต่าง ตัวอย่างเช่น การเปิดตัว ชิป Xiaomi XRING O1 บนสถาปัตยกรรม 3nm และ Xiaomi 15S Pro / Pad 7 Ultra ที่ใช้เทคโนโลยีดังกล่าวช่วยตอกย้ำศักยภาพด้านการออกแบบและ R&D ของบริษัท
กลยุทธ์นี้ยังสะท้อนผ่านความสำเร็จในตลาดจีนที่ Xiaomi ก้าวขึ้นสู่อันดับ 2 ในด้านยอดขายสมาร์ตโฟน โดยสัดส่วนสินค้าพรีเมียมเพิ่มขึ้นเป็น 26.2% ของยอดขายในประเทศในครึ่งปีแรกของ 2025 นับเป็นจุดแข็งเชิงกลยุทธ์ที่ช่วยเพิ่มมาร์จิ้น ขยายฐานลูกค้าระดับบนและสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ที่มีมูลค่าสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
หนึ่งในแกนหลักของการเติบโตระยะยาวคือการสร้าง AI Ecosystem แบบบูรณาการ ครอบคลุมผู้คน (Human), ยานยนต์ (Car) และบ้านอัจฉริยะ (Home) Xiaomi ผสานเทคโนโลยี AI เข้ากับทุกผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่สมาร์ตโฟนไปจนถึง IoT และยานยนต์ไฟฟ้า ตัวอย่างเช่น การเปิดตัว MiMo-7B และ MiMo-VL-7B ซึ่งเป็นโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Models) ที่เปิดโอเพ่นซอร์ส เพื่อใช้ในระบบผู้ช่วยอัจฉริยะ Hyper XiaoAi และผลิตภัณฑ์ใหม่อย่าง Xiaomi AI Glasses ที่รองรับการแปลภาษาทันทีและการโต้ตอบแบบมัลติโหมด กลยุทธ์นี้ช่วยสร้างความได้เปรียบเชิงโครงสร้าง โดยทำให้ทุกอุปกรณ์ภายในระบบนิเวศของ Xiaomi เชื่อมต่อกันอย่างราบรื่น สร้างฐานข้อมูลและพฤติกรรมผู้ใช้แบบเรียลไทม์ ซึ่งต่อยอดไปสู่บริการใหม่ๆ ที่มีมูลค่าสูงและสร้างรายได้ซ้ำจากผู้ใช้ในระยะยาว
Xiaomi ใช้จุดแข็งด้านเทคโนโลยีและฐานข้อมูลมหาศาลจากธุรกิจ IoT และสมาร์ตโฟน เพื่อเข้าสู่ตลาด Smart EV (ยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ) อย่างเต็มรูปแบบ ผ่านแบรนด์ Xiaomi SU7 และ YU7 Series ที่ใช้แพลตฟอร์ม 800V พร้อมระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ End-to-End Assisted Driving ที่พัฒนาเองในบริษัท
ในครึ่งแรกของปี 2025 บริษัทส่งมอบรถยนต์ไปแล้วกว่า 157,171 คัน และขยายศูนย์จำหน่ายกว่า 335 แห่งใน 92 เมืองทั่วจีน ซึ่งสะท้อนถึงจุดแข็งในการรวม AI × Hardware × Service Network เข้าด้วยกันอย่างครบวงจร กลยุทธ์นี้ทำให้ Xiaomi กลายเป็นหนึ่งในไม่กี่บริษัทในโลกที่สามารถสร้างระบบนิเวศครบตั้งแต่สมาร์ตโฟนถึงรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันระยะยาวในตลาดเทคโนโลยีระดับโลก
Xiaomi ตระหนักถึงบทบาทของตนในฐานะผู้นำเทคโนโลยีที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม บริษัทได้ดำเนินกลยุทธ์ Low-Carbon Transition และ Circular Economy อย่างเป็นระบบ โดยตั้งเป้าลดการปล่อยคาร์บอนผ่านความร่วมมือกับซัพพลายเออร์ และใช้พลังงานหมุนเวียนในโรงงานมากขึ้น ในครึ่งแรกของปี 2025 อาคารสำนักงานของบริษัทใช้ไฟฟ้าสีเขียว 7.2 ล้าน kWh (+270% YoY) และโรงงานผลิต EV ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ได้ 6.9 ล้าน kWh ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนกว่า 4,160 ตัน
บริษัทตั้งเป้าหมายให้ซัพพลายเออร์สมาร์ตโฟนลดการปล่อยคาร์บอนลงเฉลี่ย 5% ต่อปีภายในปี 2030 และใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ภายในปี 2050 กลยุทธ์นี้ไม่เพียงช่วยลดต้นทุนพลังงานและเสริมภาพลักษณ์ ESG เท่านั้น แต่ยังกลายเป็นจุดแข็งสำคัญที่ช่วยให้ Xiaomi ได้รับการยอมรับในระดับโลกในฐานะ Tech Company with Purpose
หัวใจของความสำเร็จของ Xiaomi คือ การลงทุนใน R&D อย่างต่อเนื่อง และการสร้างเทคโนโลยีหลักด้วยตนเอง (Self-developed Core Technology) ในปี 2025 บริษัทเปิดตัวชิป XRING O1 และ XRING T1 ซึ่งเป็นชิป smart watch ที่มีโมเด็ม 4G ในตัว เป็นหลักฐานของความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงในระดับชิปเซต นอกจากนี้ ทีม AI ของ Xiaomi ยังมีผลงานวิจัยได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ โดยมีบทความกว่า 10 ชิ้นได้รับการคัดเลือกให้ตีพิมพ์ในงาน ACL 2025 และ ICCV 2025
ความสามารถในการผสาน R&D เข้ากับการออกแบบผลิตภัณฑ์ การผลิต และบริการหลังการขายแบบครบวงจร ทำให้ Xiaomi มีนวัตกรรมภายในองค์กร ที่ขยายได้รวดเร็วและมีความยืดหยุ่นสูง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้บริษัทสามารถแข่งขันได้กับผู้นำเทคโนโลยีระดับโลกในระยะยาว
เปรียบเทียบกับคู่แข่งระดับโลก
เทียบกับ Samsung Electronics จากเกาหลีใต้: Samsung เป็นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลกที่ครอบคลุมทั้งสมาร์ตโฟน อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และเซมิคอนดักเตอร์ โดยมีส่วนแบ่งตลาดสมาร์ตโฟนโลกสูง และเป็นผู้นำในกลุ่มอุปกรณ์พับได้ (Foldable) ด้วยตระกูล Galaxy Z รวมถึงสมาร์ตโฟนเรือธงอย่าง Galaxy S25 Series ที่เน้นเทคโนโลยี Galaxy AI ซึ่งใช้โมเดล Gemini จาก Google นอกจากนี้ Samsung ยังมีจุดแข็งเชิงโครงสร้างจากการเป็นบริษัทแบบ Vertical Integration ที่ควบคุมตั้งแต่การผลิตหน้าจอ หน่วยความจำ ไปจนถึงชิปเซต Exynos ของตนเอง อีกทั้งมีระบบนิเวศ SmartThings ที่เชื่อมโยงทีวี เครื่องใช้ไฟฟ้า และดีไวซ์ต่างๆ เข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ ทำให้ Samsung มีความได้เปรียบในด้านเทคโนโลยีขั้นสูงและการกระจายผลิตภัณฑ์ทั่วโลก
ในทางกลับกัน Xiaomi แม้จะอายุน้อยกว่า แต่สามารถก้าวขึ้นมาอยู่ใน Top 3 ของโลก และเติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดสมาร์ตโฟนพรีเมียมในจีน จุดเด่นของ Xiaomi คือกลยุทธ์ Human × Car × Home ที่ขยายระบบนิเวศจากสมาร์ตโฟนและ IoT ไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart EV) ผ่าน Xiaomi SU7 และ YU7 Series ซึ่งใช้แพลตฟอร์ม 800V และระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติพัฒนาเอง อีกทั้งยังพัฒนาชิป Xiaomi XRING O1 (3nm) และโมเดลภาษาใหญ่ MiMo-7B ด้วยตนเอง จุดแข็งนี้ทำให้ Xiaomi มีวงจรข้อมูลครบที่เชื่อมโยงมือถือ บ้าน และรถยนต์เข้าด้วยกัน ซึ่งคู่แข่งอย่าง Samsung แม้จะมีระบบ SmartThings ที่แข็งแรง แต่ยังไม่มีส่วนร่วมเชิงลึกในธุรกิจ EV แบบ Xiaomi ส่งผลให้ Xiaomi มีโอกาสสร้างมูลค่าเพิ่มและขยายระบบนิเวศได้ลึกกว่า ทั้งในเชิง AI, Connectivity และ Experience Integration ที่เป็นทิศทางอนาคตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับโลก
เปรียบเทียบกับธุรกิจในประเทศไทย
Xiaomi ไม่มี “คู่แข่งโดยตรง” ในไทย เพราะโมเดลธุรกิจหลักคือผู้ผลิตเทคโนโลยีครบวงจร (สมาร์ตโฟน-IoT-ซอฟต์แวร์-ยานยนต์ไฟฟ้า) แต่หากเปรียบเทียบกับบริษัทที่อยู่ในช่วงโซ่อุปทานเดียวกัน เช่น COM7 ที่เป็นผู้จำหน่ายปลีกและผู้ให้บริการ อุปกรณ์ไอทีรายใหญ่ (เช่น BaNANA, Studio7 และศูนย์บริการ iCare) ที่แข็งแรงด้านเครือข่ายสาขาและออมนิแชนเนลในประเทศ ตามเอกสารบริษัทและข้อมูลตลาดหลักทรัพย์ฯ COM7 โฟกัสการขายและบริการอุปกรณ์ไอที มือถือเป็นหลักและเพิ่งต่อยอดสู่ EV segment ผ่านการลงทุนใน EV7 เพื่อให้บริการเช่า ลิสซิ่งรถยนต์ไฟฟ้า เครื่องชาร์จและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสะท้อนบทบาทคอมเมิร์ซและบริการ มากกว่าการพัฒนาเทคโนโลยีต้นน้ำเอง
เมื่อเทียบข้ามอุตสาหกรรม จุดได้เปรียบของ Xiaomi อยู่ที่การเป็นผู้พัฒนาและเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์และแพลตฟอร์มเอง ตั้งแต่สมาร์ตโฟนไปจนถึงอุปกรณ์บ้านอัจฉริยะ (AIoT) ไปจนถึง Smart EV (เช่น SU7/YU7) ซึ่งทำให้เชื่อมต่อเป็นอีโคซิสเต็ม “Human × Car × Home” ได้ครบลูป ในครึ่งแรกของปี 2025 Xiaomi รายงานฐานอุปกรณ์ AIoT เชื่อมต่อ 989.1 ล้านชิ้น และเดินหน้าธุรกิจ EV อย่างมีนัยสำคัญตามรายงานระหว่างกาล 2025 จุดนี้ทำให้ Xiaomi มี leverage ด้านเทคโนโลยี ข้อมูลและแบรนด์ เพื่อผลักดัน ARPU/มาร์จิ้นจากฮาร์ดแวร์และบริการ ในขณะที่ COM7 เด่นด้านเครือข่ายหน้าร้านและการเข้าถึงผู้บริโภคไทย ซึ่งทั้ง 2 บริษัทจะมีปัจจัยเร่งร่วมกัน คือ การเติบโตของอุปกรณ์ไอที และรถยนต์ไฟฟ้า
อนาคตและโอกาสการเติบโต
Xiaomi กำลังก้าวเข้าสู่ช่วงการเติบโตระยะใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมในทุกมิติของธุรกิจ ทั้งในกลุ่มสมาร์ตโฟน IoT และยานยนต์ไฟฟ้า (Smart EV) โดยบริษัทมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีหลักของตนเอง เช่น ชิปประมวลผล Xiaomi XRING O1 และโมเดลภาษาใหญ่ MiMo-7B เพื่อเสริมความสามารถด้าน AI และการเชื่อมต่อภายในระบบนิเวศ Human × Car × Home ที่เป็นแกนยุทธศาสตร์ขององค์กร การเติบโตของกลุ่ม IoT ยังคงแข็งแกร่ง โดยจำนวนอุปกรณ์เชื่อมต่อเพิ่มขึ้นเป็น 989.1 ล้านชิ้น (+20.3% YoY) และรายได้จากสินค้า IoT และไลฟ์สไตล์เพิ่มขึ้นกว่า 50% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งสะท้อนศักยภาพของตลาดบ้านอัจฉริยะและเทคโนโลยีผู้บริโภคที่ยังขยายตัวได้อีกมากในระดับโลก
อีกหนึ่งโอกาสสำคัญของ Xiaomi คือการเติบโตในกลุ่ม Smart EV ซึ่งบริษัทได้ส่งมอบรถยนต์กว่า 157,000 คัน ภายในครึ่งปีแรกของ 2025 นอกจากนี้ Xiaomi ยังขยายศูนย์จำหน่ายและบริการกว่า 335 แห่งใน 92 เมือง พร้อมใช้เทคโนโลยี AI และแพลตฟอร์ม 800V ยกระดับประสิทธิภาพการขับเคลื่อน บริษัทมีเป้าหมายต่อยอดความสำเร็จในจีนสู่ตลาดโลก โดยใช้ความเชี่ยวชาญด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ร่วมกันสร้างระบบนิเวศครบวงจรที่เชื่อมโยงผู้ใช้ตั้งแต่สมาร์ตโฟนถึงยานยนต์ ถือเป็นจุดแข็งที่ทำให้ Xiaomi มีศักยภาพในการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
ความเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง
Xiaomi เผชิญความท้าทายสำคัญจากทั้งปัจจัยภายนอกและภายในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทั่วโลก หนึ่งในความเสี่ยงหลักคือ การแข่งขันที่รุนแรงในตลาดสมาร์ตโฟนระดับพรีเมียม ทั้งจากแบรนด์จีนรายอื่น เช่น HONOR, OPPO และ vivo รวมถึงผู้ผลิตระดับโลกอย่าง Apple และ Samsung ซึ่งต่างมุ่งเน้นนวัตกรรม AI และการผสานอุปกรณ์ในระบบนิเวศเช่นเดียวกัน ทำให้ Xiaomi ต้องเร่งรักษาความได้เปรียบด้านต้นทุน การออกแบบผลิตภัณฑ์ และความแตกต่างด้านประสบการณ์ผู้ใช้ ขณะเดียวกัน การขยายธุรกิจสู่ตลาดโลกยังต้องเผชิญความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ (regulatory risks) และความผันผวนของเศรษฐกิจมหภาค ซึ่งอาจกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคในตลาด
อีกด้านหนึ่ง ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นมาพร้อมกับการเข้าสู่ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart EV) ทั้งในแง่ของต้นทุนการลงทุนสูงและวัฏจักรเทคโนโลยีที่เปลี่ยนเร็ว Xiaomi ต้องบริหารการขยายกำลังผลิต การจัดหา supply chain และการรักษามาตรฐานความปลอดภัยของยานยนต์ในระดับสูงสุดเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงด้านคุณภาพและชื่อเสียง นอกจากนี้ บริษัทยังต้องรับมือกับ ความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน (ESG) โดยเฉพาะเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนของ supply chain ให้ได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ภายในปี 2030 หากซัพพลายเออร์ไม่สามารถปรับตัวได้ทัน อาจส่งผลต่อภาพลักษณ์และการปฏิบัติตามข้อกำหนดในระดับโลก ดังนั้น ความสามารถในการบริหารความเสี่ยงเชิงระบบเหล่านี้ จะเป็นตัวกำหนดเสถียรภาพและความยั่งยืนของ Xiaomi ในระยะยาว
สนใจลงทุนในหุ้น Xiaomi Corporation (XIAOMI23, 1819.HK) และหุ้นเติบโตอื่น ๆ เปิดประสบการณ์ลงทุนไร้ขีดจำกัดกับแอป InnovestX! เข้าถึง 23 ประเทศ 31 ตลาดทั่วโลกได้ง่าย ๆ แค่ปลายนิ้ว เปิดบัญชีลงทุน
คลิกเลย! 👉 https://innovestx.onelink.me/23if/2jlpsi7b
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษา ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน