กองทุนหุ้นจีนที่ขายในไทยมีหลายแบบมาก วันนี้เรามาแยกหมวดให้เข้าใจง่ายๆ ก่อนเลือกลงทุนกันครับ
✅ 3 กลุ่มหลักของกองทุนหุ้นจีน
- A-Shares: หุ้นจีนในตลาดเซี่ยงไฮ้-เซินเจิ้น
- H-Shares: หุ้นจีนที่ซื้อขายในฮ่องกง
- All-Shares: ผสมทั้ง A-Shares, H-Shares และ ADRs ที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ เช่น Alibaba, PDD, JD.com
แต่ละกลุ่มยังแยกออกเป็น 2 กลยุทธ์หลัก
- Active Management: ผู้จัดการกองทุนคัดหุ้นที่ดีที่สุดด้วยตัวเอง
- Passive Management: ลงทุนตามดัชนี เช่น CSI 300, HSCEI, MSCI China
✅ วิธีการลงทุนของกองทุนในไทย
นอกจากการแบ่งหุ้นเป็น A, H, All-Shares แล้ว วิธีที่กองทุนในไทยนำเงินไปลงทุนยังแบ่งออกเป็น:
- Feeder Fund:
- นำเงินไปลงทุนในกองทุนต่างประเทศโดยตรง เช่น ลงกองจีนที่จดทะเบียนในฮ่องกง สิงคโปร์ หรือสหรัฐฯ
- Direct Investment:
- ทีมลงทุนของไทยลงทุนเองตรงในตลาดหุ้นจีน เลือกหุ้นเอง
- Fund of Funds (FoF):
- กระจายลงทุนในหลายกองทุนต่างประเทศพร้อมกัน เช่น ผสมกอง A-Shares, H-Shares, Thematic Fund รวมไว้ในกองเดียว
🔍 FX Hedging Policy ต้องดูอะไร?
- กองทุนไทยหลายกอง “Feed” ไปลงกองทุนหลักที่เป็นสกุลต่างประเทศ เช่น
- นโยบายป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน (FX Hedging) บางกองมี/ไม่มี และ ป้องกันบนคู่เงินต่างกัน เช่น
- USDTHB
- HKDTHB
- RMBTHB
นักลงทุนควรเช็กเสมอ เพราะผลตอบแทนจริงๆ อาจได้รับผลกระทบจากค่าเงินด้วย
✅ แต่ละกลยุทธ์ยังแบ่งย่อยได้อีก
นอกจาก Active / Passive ยังมีสไตล์การลงทุนที่หลากหลาย:
- Tech Passive: ลงหุ้นเทคจีนตามดัชนี เช่น Hang Seng Tech Index
- Tech Active: ผู้จัดการกองทุนเลือกหุ้นเทคที่โดดเด่นเอง
- Theme Active: เน้นธีมเฉพาะเช่น EV, Healthcare, Green Energy
- Low Volatility Active: เลือกหุ้นจีนที่ผันผวนต่ำ เหมาะกับคนรับความเสี่ยงไม่เยอะ
- Small/Mid Cap Active: เน้นหุ้นจีนขนาดเล็ก-กลาง ที่โตไวแต่ความเสี่ยงสูงกว่า
- Greater China: ไม่ได้ลงทุนแค่จีนแผ่นดินใหญ่ แต่รวมไต้หวัน ฮ่องกงด้วย เช่น TSMC, AIA
ประเภท
|
หุ้นจีนที่ลงทุน
|
กลยุทธ์
|
สไตล์ย่อย
|
วิธีลงทุน
|
FX Hedging Policy
|
A-Shares
|
จีนแผ่นดินใหญ่
|
Active / Passive
|
General, Low Vol, Theme
|
Feeder, Direct, FoF
|
USDTHB / RMBTHB
|
H-Shares
|
ฮ่องกง
|
Active / Passive
|
Tech, Theme
|
Feeder, Direct, FoF
|
HKDTHB
|
All-Shares
|
A + H + ADRs
|
Active / Passive
|
Greater China, Theme, Tech, Small-Mid Cap
|
Feeder, Direct, FoF
|
USDTHB / HKDTHB
|
👉 โดย Lists ของแต่ละกลุ่มมาให้ว่า มี “กองทุนหุ้นจีน” ตัวไหนในไทยบ้างที่อยู่ในแต่ละหมวด สามารถดูได้ตามรูป

3 กลุ่มนี้ มีรายละเอียดแต่ละกลุ่มอย่างไรมาดูกัน 👇
✅ 1) กองทุนหุ้นจีน A-Shares
ลงทุนในหุ้นจีนที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์จีนแผ่นดินใหญ่ เช่น เซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้น
โดยหุ้นกลุ่มนี้จะเน้นบริษัทจีนท้องถิ่นที่ขายสินค้า-บริการให้คนจีนเอง เช่น เทคโนโลยีในประเทศ การบริโภค สุขภาพ
กลยุทธ์ย่อย:
- Active Management:
ผู้จัดการกองทุนคัดหุ้น A-Shares ตัวเด็ดๆ เอง วิเคราะห์เจาะลึก เช่น หุ้นเทคฯ สุขภาพที่โตในจีน
- Passive Management:
ลงทุนตามดัชนีหุ้น A-Shares เช่น CSI 300 Index หรือ SSE 50 Index ไม่ต้องเลือกหุ้นเอง
🎯 เหมาะกับคนที่เชื่อว่า “จีนโตในประเทศตัวเอง” และต้องการโอกาสจากตลาดแผ่นดินใหญ่โดยตรง
✅ 2) กองทุนหุ้นจีน H-Shares
ลงทุนในหุ้นจีนที่ไปจดทะเบียนซื้อขายในตลาดฮ่องกง
เช่น Tencent, Alibaba, Meituan หุ้นเหล่านี้แม้จะเป็นบริษัทจีน แต่เข้าถึงนักลงทุนต่างชาติได้ง่ายขึ้นเพราะซื้อขายเป็นสกุลเงิน HKD
กลยุทธ์ย่อย:
- Active Management:
ผู้จัดการกองทุนเลือก H-Shares ที่เด่นที่สุด คัดหุ้นที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูง เช่น กลุ่ม Internet Platform
- Passive Management:
ลงทุนตามดัชนี H-Shares เช่น Hang Seng China Enterprises Index (HSCEI)
🎯 เหมาะกับคนที่อยากลงทุนบริษัทจีนที่เข้าถึงต่างชาติได้ง่าย และหุ้นมีสภาพคล่องสูง
✅ 3) กองทุนหุ้นจีน All-Shares
ลงทุนแบบผสมทั้ง A-Shares + H-Shares + ADRs (หุ้นจีนที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ)
ทำให้ได้ exposure ทั้งจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง และหุ้นจีนที่จดใน Nasdaq / NYSE อย่างเช่น Alibaba, JD.com, PDD
กลยุทธ์ย่อย:
- Active Management:
ผู้จัดการกองทุนคัดสรรหุ้นจีนจากทุกตลาดทั่วโลก เลือกทั้งใน A, H และ ADRs เพื่อสร้างผลตอบแทนดีที่สุด
- Passive Management:
ลงทุนตามดัชนีจีนขนาดใหญ่ เช่น MSCI China All Shares หรือ CSI 300 + H-Share Index รวมกัน
🎯 เหมาะกับคนที่อยากลงทุน “หุ้นจีนครบทั้งโลก” ในพอร์ตเดียว ไม่ต้องเลือกว่าจะเน้นจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง หรือ ADRs ที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ