- - ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้นต่อถึงแม้ตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาจะชะลอตัวในระยะสั้น แต่ตลาดมีแรงหนุนจากกลุ่มเทคฯที่ปรับตัวขึ้นจากปัจจัยเฉพาะตัวหลังจากในสัปดาห์ก่อนมีแรงขายทำกำไร
-
- - กระแสเงินในวันที่ 28 มิ.ย. 2024 1) กระแสเงินในตราสารหนี้ผันผวน มีแรงซื้อในตราสารหนี้คุณภาพดีหลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐส่งสัญญาณการชะลอตัวลง 2) มีแรงซื้อในตลาด EM จากแนวโน้มการฟื้นตัวและการลดดอกเบี้ย แต่กระแสเงินลดน้อยลง 3) มีแรงซื้อในกลุ่มการเงินจากผล Stress test ของธนาคารสหรัฐและ Sentiment ของ ปธน.ทรัมป์ 4) หุ้นธีม Growth มีแรงขายออกมาค่อนข้างมาก มองเป็นแรงขายทำกำไรในระยะสั้น เช่นเดียวกับกลุ่มเทคโนโลยี ส่วนกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมและกลุ่ม Materials มีแรงขายจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงโดยเฉพาะจากจีน 5) มีแรงขายในตลาดหุ้นจีนจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ยังอ่อนแอแม้ว่าจะมีความคาดหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 6) กระแสเงินไหลออกจากตลาดหุ้นญี่ปุ่นเป็นผลจากท่าทีของธนาคารกลางญี่ปุ่นเป็นสำคัญ
-
- - ตัวเลข ISM หดตัวลงเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอต่อเนื่องในภาคการผลิตของสหรัฐฯ แม้จะมีสัญญาณบวกบางประการ เช่น ยอดคำสั่งซื้อใหม่ที่ปรับตัวดีขึ้นและสินค้าคงคลังลดลง ขณะที่เรามองว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในภาพรวมยังสามารถคาดหวังได้แต่จะเป็นอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพราะดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่สูงและค่าเงินที่ผันผวน เราจึงมองว่าการฟื้นตัวนี้จะสนับสนุนตลาดได้ โดยในเอเชียเราชอบ SK Hynik, Samsung Electronics, TSMC, Lenovo, Tencent, Xiaomi, Haier Smart Home
-
- - Apple กำลังเตรียมพร้อมสำหรับยอดขาย iPhone 16 ที่สูงขึ้น โดยมีการปรับกลยุทธ์ด้านชิปและฮาร์ดแวร์เพื่อรองรับฟีเจอร์ใหม่อย่าง Apple Intelligence ซึ่งอาจเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดลูกค้า โดยเรามองว่าแนวโน้มการเติบโตของ Apple ใน 2H24 จะดีกว่า 1H24 ทั้งนี้มาจากการออกสินค้าใหม่และกลยุทธ์ของ AI นอกจากนั้นเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวอย่างช้าๆในจีน ทำให้เรามองว่าซื้อ Apple ในกรอบ US$200-210 มองกรอบบนของราคาเป้าหมายอยู่ที่ US$230-250 (consensus)
-
- - Amazon เพิ่มเงินลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานศูนย์ข้อมูลสะท้อนทิศทางการเปลี่ยนผ่านธุรกิจจากเดิมที่มุ่ง E-commerce ไปเน้นที่กลุ่มคลาวด์ AI มากขึ้น ซึ่งเรายังคงแนะนำซื้อเพื่อลงทุนหลังเชื่อว่าการเติบโตในปี 24 ยังคงดีจากแผนการควบคุมต้นทุนที่ดี, การเปลี่ยนจุดโฟกัสธุรกิจ รวมถึงมองเศรษฐกิจที่ดูดีขึ้นส่งผลบวกต่อธุรกิจคอมเมิซ
-
- - BYD เผยยอดขาย 2Q24 แกร่งเกือบแตะล้านคันซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุดเท่าที่เคยมีมาหลังมีการปรับลดราคาขายลงและเปิดตัวรถรุ่นใหม่ ซึ่งสวนทางกับแนวโน้มยอดขาย Tesla ที่ลดลง แต่อย่างไรก็ดีราคาหุ้นกลับเพิ่มขึ้นได้จากความคาดหวังการฟื้นตัวของธุรกิจใน 2H24 ซึ่งในภาพรวมเรามองว่ากลุ่ม EV ยังคงมีแรงกดดันจากการแข่งขันที่สูงและความเสี่ยงด้าน Geopolitical Risk แต่อย่างไรก็ดีเราเชื่อว่าประเด็นนี้มีผลกระทบจำกัดต่อ BYD และ Tesla หลังมีแบรนด์แกร่งและฐานะทางการเงินดี ซึ่งหากว่าใครรับความเสี่ยงดังกล่าวได้ เรามองว่าสามารถเก็งกำไรเพื่อคาดหวังภาพการฟื้นตัวของผลประกอบการในช่วง 2H24 ที่มองว่าจะดูดีกว่าครึ่งปีแรก
|