ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา (22-28 กันยายน) ตลาดคริปโทเผชิญแรงกดดัน โดย Bitcoin ร่วง -2.3 % และ Ethereum -4.2 % สะท้อนแรงขายทำกำไรหลังการประชุมเฟดที่แม้ออกมาตามคาด แต่ถ้อยแถลงของประธานเฟด (Powell) กล่าวตลาดหุ้นสหรัฐมีมูลค่าสูงพอสมควร ทำให้กดดันตลาดสินทรัพย์เสี่ยง และ ประธานเฟดชี้ว่าการลดดอกเบี้ยต่อเนื่องไม่ได้เป็นเรื่องที่รับประกัน จึงทำให้ตลาดอาจผิดหวังหาดเฟดชะลอการผ่อนคลายนโยบายเพราะเงินเฟ้อยังดื้อ สร้างแรงกดดันต่อสินทรัพย์เสี่ยง ผลลัพธ์คือ มูลค่าตลาดคริปโท (Cryptocurrency Market Cap) ลดลงกว่า 10% เหลือ 3.65 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่ BTC Dominance ขยับขึ้นสู่ 56.14%สะท้อนการไหลกลับสู่สินทรัพย์หลักอย่าง Bitcoin
ผลตอบแทน สัปดาห์ที่ผ่านมาของตลาด คริปโทเคอร์เรนซี่
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา การปรับฐานครั้งนี่หากเทียบกับ Altcoins ส่วนใหญ่ พบว่า Top Cap มีความผันผวนน้อยกว่า โดย Weekly Performance ของกลุ่มนี้ (XRP, BTC, BNB, LINK, ETH ) อยู่ในช่วง -2% ถึง -4% เท่านั้น ขณะที่ Altcoins หลายตัวร่วงแรงกว่า -10% ตามภาพรวมตลาด
ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่าเหรียญขนาดใหญ่มีแรงขายจำกัดกว่า ในขณะที่ Altcoins อย่าง ARB และ UNI ปรับตัวลดลงแรงกว่ามาก สะท้อนถึงการไหลกลับของเม็ดเงินไปสู่สินทรัพย์หลักที่มีความมั่นคงกว่าในช่วงตลาดผันผวน
Cryptocurrency Fear and Greed Index (ดัชนีความกลัวและความโลภ)
On-chain Data : BTC Short Term Holder P&L to Exchanges
(กำไรและขาดทุนผู้ถือครองระยะสั้น 24 ชม.) : การลงเพื่อสร้าง Healthy Reset และเตรียมรอบขาขึ้นถัดไป
P&L to Exchange (24 hr) คือ ตัวชี้วัด กำไร-ขาดทุนที่ผู้ถือครองระยะสั้น (Short-Term Holders) ของ Bitcoin โอนเข้าสู้กระดานเทรดภายใน 24 ชั่วโมง สังเกตุได้ว่าเมื่อวันที่ 22 ก.ย. ตลาดคริปโทเผชิญแรงขายอย่างรุนแรง โดยเฉพาะผู้ถือครองระยะสั้น (Short-Term Holders: STHs) ที่ขายขาดทุนรวมกว่า 30,000 BTC ภายใน 24 ชั่วโมง เหตุการณ์นี้สะท้อนว่านักลงทุนระยะสั้นและผู้ใช้ leverage สูง ที่ถูกบังคับขาย แม้จะกดดันราคาในระยะสั้น แต่ในเชิงโครงสร้างกลับถือเป็น Healthy Reset ของตลาด เพราะช่วยชำระล้าง leverage ออกจากระบบ ทำให้ตลาดมีโอกาสสร้างฐานที่แข็งแรงขึ้นเพื่อรองรับการฟื้นตัวในรอบขาขึ้นถัดไป โดยรวมแล้ว แม้ระยะสั้นความผันผวนยังสูง นักลงทุนควรบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ