- ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงหลังข้อมูลแรงงานออกมาแกร่งส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลพุ่งขึ้นสูงและทำให้ตลาดกลับมากังวลว่า FED จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งโดยปัจจุบันนักลงทุนให้น้ำหนักกว่า 90% ที่ FED จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมวันที่ 25-26 ก.ค.
-
- กระแสเงินในวันที่ 5 ก.ค. 2023 1) ตลาดเริ่มกลับมาซื้อตราสารหนี้มากขึ้นแม้ว่าท่าทีของธนาคารกลางจะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง แต่ตลาดเน้นไปที่ตราสารหนี้คุณภาพดีและพันธบัตรรัฐบาลแต่ขายตราสารหนี้ High Yield 2) ยังมีแรงเก็งกำไรในหุ้นธีม Growth และกลุ่มเทคโนโลยี 3) มีแรงขายในตลาดหุ้นจีนและตลาด EM จาก ศก จีนที่อ่อนแอกว่าที่คาดและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมค่อนข้างช้า ส่วนตลาดญี่ปุ่นมีเงินไหลเข้าทั้งนี้เป็นผลจากค่าเงินเยนอ่อนค่าเป็นสำคัญ 4) มีแรงขายในโลหะมีค่าทั้งนี้มองว่าเป็นผลจากค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าและแนวโน้มดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นทำให้ความน่าสนใจของโลหะมีค่าลดลง
-
- Russia-Ukraine ไม่มีพัฒนาการเชิงบวก ด้านราคาถ่านหินในยุโรปลดลง 4% ราคาก๊าซธรรมชาติลดลง 2.6% ส่วนต่างดอกเบี้ยของกลุ่ม IG ทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น 1bps ส่วนตราสาร HY ปรับเพิ่มขึ้น 6bps ขณะที่ตลาดหุ้นจีนที่เกี่ยวข้องกับกลุ่ม Reopening ในจีนยังค่อนข้างผันผวน โดยล่าสุดปรับลดลง 2.3% จากภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงต่อเนื่องและนักลงทุนยังเน้นไปที่ความคาดหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมที่ออกมาค่อนข้างช้า ทุกกลุ่มที่เกี่ยวข้องปรับตัวลดลง
-
- ยอดขายกลุ่มค้าปลีกยังซบเซา โดย Costco Wholesale รายงานยอดขายเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้น 0.4%YoY ขณะที่ยอดขายอีคอมเมิร์ซยังลดลง 0.4% ส่วน Levi Strauss & Co เผยงบ 2Q23 ดีกว่าคาดแต่รายได้และกำไรหดตัวหลังยอดขายในอเมริกาเหนือและยอดขายส่งหดตัวลง นอกจากนี้ยังปรับลดประมาณการงบ FY23 ลง ขณะที่จากรายงานของ COST และ LEVI สะท้อนได้ว่า 1) อุปสงค์สหรัฐฯชะลอตัวลง 2) คน Sensitive กับราคามากขึ้น ซึ่งเรามองว่าทั้งกลุ่มค้าปลีกได้รับผลกระทบในภาพเดียวกันทั้งหมด แต่หากเลือกตัวที่มีภาพความเสี่ยงที่น้อยสุด เราเลือก WMT หลังมีการจัดการที่ดีและมีสัดส่วนสินค้าจำเป็นค่อนข้างมาก
-
- ยอดขาย Semiconductor ทั่วโลกในเดือน พ.ค. เพิ่มขึ้น 1.7% MoM แต่ยังลดลง 21% YoY ซึ่งก็เห็นสัญญาณของการฟื้นตัวและ Bottom out ในระดับหนึ่งแม้ว่าภาพรวมจะยังค่อนข้างอ่อนแอเมื่อเทียบกับปี 2022 แต่ก็มีการฟื้นตัวในแง่ MoM เป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกันแต่ก็เป็นอย่างค่อยเป็นค่อยไปไม่เร็วมากนัก ขณะที่เรามองภาพความเสี่ยงจากสงครามเทคโนโลยีระหว่างจีนและสหรัฐ รวมถึงผลประกอบการที่อ่อนแอใน 2Q23 (ที่จะประกาศงบในช่วงปลายเดือนนี้) จะสร้างแรงกดดันให้กับราคาหุ้นในระยะสั้นแต่เราให้ความสำคัญกับวัฏจักรการฟื้นตัวมากกว่า จึงมองว่าการเป็นจังหวะในการซื้อในกลุ่ม Semiconductor แต่ก็ยังหลีกเลี่ยงหุ้นที่ Valuation แพง เราชอบ ASML, TSMC, AMD, INTC, MRVL
|