บทสรุป |
ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้นหลังได้รับแรงหนุนจากตัวเลขแรงงานที่ชะลอความร้อนแรงลงซึ่งยังเป็นภาพที่หนุนการยุติวงจรการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ขณะที่ดัชนี PMI รวมภาคผลิตและบริการขั้นสุดท้ายยูโรโซนหดตัวต่ำสุดในรอบ 3 ปี ในเดือนต.ค.โดยการชะลอตัวของกิจกรรมทางธุรกิจของยูโรโซนย่ำแย่ลงต่อเนื่อง กระแสเงินในวันที่ 3 พ.ย. 2023 1) กระแสเงินในตราสารหนี้มีแรงซื้อต่อเนื่อง โดยเฉพาะตราสารหนี้คุณภาพดีและหุ้นกู้ รวมถึง High Yield ทั้งนี้มองว่าเป็นการบริหารความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกโดยเฉพาะความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และท่าทีของ FED ที่ตึงตัวน้อยลง 2) มีแรงซื้อในกลุ่ม Utilities มองว่าเป็นการเก็งกำไรเมื่อท่าทีของ FED จะไม่ขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติม 3) มีแรงซื้อในหุ้นธีม Growth และมีแรงซื้อกลับในกลุ่มกลุ่มเทคโนโลยี 4) มีแรงขายในโลหะมีค่าเล็กน้อยหลังไม่มีความรุนแรงเพิ่มเติมในตะวันออกกลาง 5) มีแรงขายในหุ้นกลุ่ม Materials และกลุ่ม Consumer Discretionary จากความกังวลแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่อาจจะช้ากว่าที่คาด Russia-Ukraine ไม่มีพัฒนาการเชิงบวก ด้านราคาถ่านหินในยุโรปปรับตัวลดลง 5.9% ราคาก๊าซธรรมชาติลดลง 5.5% ส่วนต่างดอกเบี้ยของกลุ่ม IG ทั่วโลกปรับตัวลดลง 2bps ส่วนตราสาร HY ปรับลดลง 9bps ด้านตลาดหุ้นจีนที่เกี่ยวข้องกับกลุ่ม Reopening ในจีนภาพรวมปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.2% จากภาพตลาดที่ดีขึ้นและความคาดหวังเชิงบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยกลุ่มที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ดีได้แก่ กลุ่มร้านอาหารและกลุ่มคาสิโนที่ปรับเพิ่มขึ้น 4% ในขณะที่เสื้อผ้ากีฬาปรับตัวลดลง 0.9% จากแนวโน้มผลประกอบการที่อ่อนแอ จากผลการสำรวจของธนาคารกลางสหรัฐ (Senior Loan Officer Opinion Survey) พบว่าธนาคารในสหรัฐในภาพรวมยังมีมาตรการฐานการปล่อยกู้ที่ตึงตัว ในขณะที่ความต้องการกู้อ่อนแอ แต่ก็มีสัญญาณของการฟื้นตัวในระดับหนึ่ง ในภาพรวมของกลุ่มธนาคารยังอยู่ในทิศทางที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยของ FED ชัดเจนและเริ่มเห็นผลกระทบในระบบเศรษฐกิจในระดับหนึ่ง เรามองว่าหากธนาคารยังคงตึงตัวในการปล่อยกู้จะทำให้การเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนและกำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง เรายังเน้นหุ้นเชิงรับอย่าง MCD, PG, WMT, KO, CL การเติบโตของ Maersk ตกลงสู่จุดต่ำสุดนับตั้งแต่ปลายปี 2020 สะท้อนทิศทางการชะลอตัวของเศรษฐกิจและแรงกดดันในวัฏจักรการเติบโต ทั้งนี้คาดการเติบโตจะชะลอตัวลงต่อเนื่อง โดยภาพการเติบโตที่ชะลอตัวส่งผลให้ 1) บริษัทเตรียมปรับลดพนักงานราว 10000 คนซึ่งเท่ากับ 9% เพื่อปกป้องความสามารถในการทำกำไรในตลาดการขนส่งที่คาดว่าจะยังคงอ่อนแอไปจนถึงปี 2026 2) บริษัทเตรียมปรับลดต้นทุนในปี 23-24 ลงซึ่งคาดว่าจะประหยัดได้ราว $600mn 3) แผนการ Buy Back มีแรงกดดันและอยู่ภายใต้การพิจารณา ด้าน Fortinet บริษัท Cybersecurity เผยยอดขายผลิตภัณฑ์ที่ชะลอตัวอย่างรวดเร็ว -1% หลังอุปสงค์อ่อนแอ ทั้งนี้ด้วย 1) ตัวเลขคำสั่งซื้อใน 3Q23 ที่ต่ำกว่าคาด 2)การคาดการณ์จำนวนคำสั่งซื้อใน 4Q23 ที่หดตัวลง -5% และต่ำกว่าคาด จึงทำให้บริษัทปรับลดประมาณการณ์คำสั่งซื้อในช่วง FY23 และรายได้ทั้งปีลงซึ่งต่ำกว่าคาดการณ์ตลาดเช่นกัน ภาพการปรับลดคาดการณ์สะท้อนได้ว่าบริษัทยังมีแรงกดดันการชะลอคำสั่งซื้อของลูกค้าองค์กร รวมถึงระยะเวลาสัญญาที่สั้นลงที่จำกัดการเติบโตโดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจ service-provider ที่บริษัทมีสัดส่วนการดำเนินงานเยอะกว่า Peers อย่าง Check Point และ Palo Alto Networks ที่ค่อนข้างอาศัย Direct Sale ด้วยภาพนี้อาจทำให้ Fortinet สูญเสียส่วนแบ่งด้าน cloud-security providers ได้ |
PDF คลิกอ่านเพิ่มเติม What Not To Miss_231107_T