สรุปภาพรวมการลงทุนสัปดาห์นี้
สัปดาห์นี้ตลาดปรับตัวลดลงแรงขึ้นหลังจากความเสี่ยงเศรษฐกิจและการลงทุนมีมากขึ้น จาก (1) กิจกรรมทางเศรษฐกิจจีนในเดือน ก.ค. แย่กว่าคาดในทุกดัชนี โดยการใช้จ่ายของผู้บริโภคเติบโต 2.5% ต่ำกว่าคาดที่ 4.5% และชะลอกว่าเดือนก่อนที่ 3.1% ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเติบโต 3.7% ต่ำกว่าคาดที่ 4.4% และชะลอกว่าเดือนก่อนที่ 4.4% และการลงทุนสินทรัพย์ถาวรขยายตัว 3.4% ต่ำกว่าคาดที่ 3.8% และชะลอกว่าเดือนก่อนที่ 3.8% ขณะที่การว่างงานเพิ่มขึ้น โดยอยู่ที่ 5.3% ของกำลังแรงงานรวม เพิ่มขึ้นจาก 5.2% ขณะที่ทางการจีนระบุว่า จะยกเลิกการประกาศอัตราว่างงานสำหรับคนหนุ่มสาว หลังจากในเดือน มิ.ย. อัตราดังกล่าวสูงที่ 21.3% ทำให้ (2) ทางการจีนปรับลดดอกเบี้ยเหนือตลาดคาด โดยปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 1 ปีลง 15 Basis Point สู่ 2.5% และอัตราดอกเบี้ย 7 วัน ลง 10 Basis Point สู่ 1.8% ขณะที่ (3) ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ยังขยายตัวต่อเนื่อง โดยยอดค้าปลีกสหรัฐฟื้นตัวขึ้นเป็นเดือนที่สี่ติดต่อกัน โดยขยายตัวที่ 3.2% ต่อปี เร่งตัวจาก 1.6% ต่อปี ในเดือน มิ.ย. โดยการจับจ่ายที่ขยายตัว ได้แก่การใช้จ่ายนอกบ้าน เช่น ร้านอาหารและบาร์ รวมถึงสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการเปิดเทอมใหม่ เช่น เสื้อผ้าและหนังสือ (4) ตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมรวม ก.ค. ของสหรัฐ +1.0% สูง กว่าคาด และตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้าน ก.ค. +3.9% สูงกว่าคาด (5) รายงานการประชุม Fed ออกมาเป็นภาพผสมผสาน โดยคณะกรรมการส่วนใหญ่มีมติขึ้นดอกเบี้ยไปสู่ 5.4% ขณะที่บางส่วนยังคงเน้นย้ำความจำเป็นในการขึ้นดอกเบี้ยต่อเพื่อกดเงินเฟ้อ แต่บางส่วนเริ่มกังวลว่าดอกเบี้ยที่สูงเกินไปอาจส่งผลกระทบด้านลบต่อเศรษฐกิจ ส่งผลให้ตลาดกังวลทิศทางดอกเบี้ย ซึ่งแนวโน้มดอกเบี้ยที่ยังสูงมีส่วนทำให้ผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี สหรัฐ อยู่ที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2008 ท่ามกลางความเสี่ยงภาคการเงินและการผิดนัดชำระหนี้ที่มากขึ้น (6) เงินเฟ้ออังกฤษปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 6.8% ในเดือน ก.ค. จาก 7.9% ในเดือน มิ.ย. จากราคาพลังงานที่ลดลง แต่เงินเฟ้อพื้นฐานยังสูงอยู่ที่ 6.9% ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อน ขณะที่ค่าจ้างยังขยายตัวสูงมากที่ 8.2% บ่งชี้ว่าธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ยังคงต้องขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องจากระดับปัจจุบันที่ 5.25% สูงสุดในรอบ 15 ปี
ตลาดหุ้นโลก
•สัปดาห์นี้ตลาดปรับตัวลดลงหลังจากความเสี่ยงเศรษฐกิจและการลงทุนมีมากขึ้น ทั้งจากเศรษฐกิจจีนขยายตัวต่ำกว่าคาดมาก ทำให้ทางการจีนปรับลดดอกเบี้ยเหนือตลาดคาด ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ยังขยายตัวต่อเนื่อง โดยยอดค้าปลีกสหรัฐฟื้นตัวขึ้นเป็นเดือนที่สี่ติดต่อกัน ประกอบกับรายงานการประชุม Fed ที่คณะกรรมการบางส่วนยังคงเน้นย้ำความจำเป็นในการขึ้นดอกเบี้ย ส่งผลให้ตลาดกังวลทิศทางดอกเบี้ย และเป็นส่วนให้ผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี สหรัฐ อยู่ที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2008 ท่ามกลางความเสี่ยงภาคการเงินและการผิดนัดชำระหนี้ที่มากขึ้น
ตลาดหุ้นไทย•ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงแต่ปรับตัวเพิ่มขึ้นปลายสัปดาห์หลังจากพัฒนาการด้านการเมืองชัดเจนขึ้น โดย ปธ. สภาฯ นัดโหวตนายกฯ 22 ส.ค. หลังศาล รธน. มติเอกฉันท์ไม่รับคำร้องผู้ตรวจการแผ่นดินกรณีเสนอชื่อโหวตนายกฯ ซ้ำ เนื่องจากไม่ใช่ผู้ถูกละเมิดโดยตรง ขณะที่ภาพเศรษฐกิจเสี่ยงมากขึ้น โดย ส.อ.ท. รายงานดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ก.ค. 66 ลดลงต่ำสุดรอบ 10 เดือน จากปัญหาหนี้ ครัวเรือนสูง กำลังซื้ออ่อนแอ ดอกเบี้ยขาขึ้น การเมืองไม่ชัดเจน ขณะที่ผู้ว่าการฯ ธปท. ส่งสัญญาณยุติดอกเบี้ยขาขึ้น ขณะที่การเมืองไม่นิ่งกดดันเงินบาทผันผวนหนักเมื่อเทียบภูมิภาค
ตลาดพันธบัตร•ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี ปรับขึ้นต่อเนื่องมาอยู่ที่ 4.29% สูงสุดในรอบ 11 ปี หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐดีเกินคาด ขณะที่รายงานการประชุม Fed ส่งสัญญาณดอกเบี้ยสูงต่อเนื่อง ขณะที่ ระยะสั้น 2 ปี เพิ่มขึ้นที่ 4.98% ทำให้ส่วนต่างดอกเบี้ย 2-10 ปี มาอยู่ที่ -0.69 bps•ผลตอบแทนพันธบัตรไทยอายุ 10 ปี ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องที่ 2.66% ขณะที่ระยะสั้น อายุ 2 ปี ปรับขึ้นเล็กน้อยที่ 2.28% ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิที่ 4.8 พันล้านบาท
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์•ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับลดลงจากราคาปิดวันศุกร์ที่ 11 ส.ค. ที่ 86.8 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 83.9 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังตัวเลขเศรษฐกิจจีนแย่กว่าคาดมาก ด้านราคาทองคำ (spot) ปรับลดลงเล็กน้อยที่ 1,925.5 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์
ตลาดอัตราแลกเปลี่ยน•ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (DXY) แข็งค่าขึ้นที่ 103.4 จุด หลังจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่งเกินคาดท่ามกลางตัวเลขจีนที่อ่อนแอมากขึ้น ขณะที่ค่าเงินเยนอ่อนค่าที่ 146.3 เยน ด้านค่าเงินยูโรอ่อนค่าที่ 1.09 ดอลลาร์ต่อยูโร ด้านค่าเงินเอเชีย ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงที่ 35.48 บาท ขณะที่เงินหยวนอ่อนค่าขึ้นที่ระดับ 7.31 หยวน
PDF คลิกอ่านเพิ่มเติม wealthweekend21082023