
เนื้อหาโดยรวม
“Don’t put all eggs in one basket” อย่าเอาไข่ทั้งหมดใส่ไว้ในตะกร้าใบเดียว ควรที่จะกระจายการลงทุนไปในหลาย ๆ สินทรัพย์
ไม่มีสินทรัพย์ใดที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกได้ตลอดทุกช่วงเวลา สินทรัพย์ใดที่มีความเสี่ยงสูง ย่อมให้ผลตอบแทนสูงแต่ก็มีโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนที่ต่ำมาก เพราะความผันผวนนั่นเอง Asset Allocation จึงเป็นเรื่องที่สำคัญต่อทุกคน ที่จะช่วยจัดพอร์ตการลงทุน พร้อมรับความผันผวน กับทุกสภาวะของตลาด ลดความเสี่ยงให้กับพอร์ตการลงทุน และสร้างผลตอบแทนในระยะยาว
Asset Allocation หรือ การจัดสรรสินทรัพย์ เหมาะสมกับใคร?
หัวใจของการทำ Asset Allocation หรือ การจัดสรรสินทรัพย์ คืออะไร? ทำไมต้องทำด้วย?... ก็เพราะ นักลงทุนอย่างเรา ๆ รู้ดีว่า สินทรัพย์แต่ละประเภทสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้แตกต่างกันไปในแต่ละสถานการณ์และช่วงเวลา
ปัจจุบันคงไม่มีใครไม่รู้จักคำว่า “การลงทุน” เพราะทุกคนได้เริ่มลงทุนแล้ว แม้ว่าจะเริ่มลงทุนจากฝากเงินกับธนาคาร หรือลงทุนผ่านหุ้น กองทุน หรือตราสารหนี้ โดยจะลงทุนตามสัดส่วนที่ต้องการ หรือลงทุนเฉพาะสินทรัพย์ที่ตนเองชื่นชอบ แต่การลงทุนดังกล่าวสามารถตอบสนองกับผลตอบแทนที่เราต้องการได้แล้วจริงหรือ อีกทั้งเราไม่อาจทราบได้ว่าสินทรัพย์ที่เราลงทุน จะให้ผลตอบแทนได้ดีตลอดทุกช่วงเวลาหรือไม่ และสัดส่วนการลงทุนนี้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่เรายอมรับได้หรือเปล่า “การจัดสรรสินทรัพย์ หรือ Asset Allocation” จะช่วยตอบคำโจทย์ให้กับนักลงทุน
Asset Allocation คืออะไร ควรกระจายการลงทุนอย่างไร?
Asset Allocation (การจัดสรรสินทรัพย์) คือ การกระจายการลงทุนไปในหลาย ๆ สินทรัพย์ทั้งในและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ตราสารหนี้ หุ้น อสังหาริมทรัพย์ หรือเงินสด โดยกำหนดสัดส่วนไว้ในแต่ละสินทรัพย์ให้เหมาะสม เพื่อกระจายความเสี่ยงของการลงทุน เพื่อช่วยให้ลดความผันผวนให้กับพอร์ตการลงทุน และเหมาะสมกับผลตอบแทนที่เราต้องการ สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้นั่นเอง และสินทรัพย์ในการลงทุนมีอะไรบ้าง

1.เงินสด
ถือเป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องมากสุด เพราะเราสามารถเอาเงินออกมาใช้ได้ทันที แต่ข้อเสียของเงินสด คือ มูลค่าของเงินที่เราถือนั้นจะลดลง เนื่องจากเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ต่ำ ทำให้มูลค่าเงินสดของนักลงทุนค่อย ๆ ลดลงไป
2.ตราสารหนี้
คือ ตราสารที่ออกโดยภาครัฐหรือภาคเอกชน มีวัตถุประสงค์เพื่อระดมทุนเพื่อใช้ในการดำเนินกิจการต่าง ๆ โดยมีผู้ออกอยู่ 2 กลุ่ม ดังนี้
2.1ตราสารหนี้ภาคเอกชน ออกโดยบริษัทเอกชนต่าง ๆ โดยเป็นตราสารที่มีความเสี่ยงมากกว่าตราสารหนี้ภาครัฐ เพราะมีโอกาสผิดนัดชำระหนี้ ได้ จึงมีการจัดอันดับเครดิต โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่
กลุ่ม Investment Grade (Investment Bond) เป็นกลุ่มที่มี Rating BBB- ขเป็นต้นไป มีโอกาสผิดนัดชำระหนี้ต่ำจึงทำให้ผลตอบแทนต่ำกว่า
กลุ่ม Non-Investment Grade (High Yield Bond) เป็นตราสารหนี้ที่จะให้ผลตอบแทนสูงซึ่งจะมี Rating ตั้งแต่ BB+ ลงมา มีความเสี่ี่ยงสูงขึ้นที่จะไม่สามารถชำระหนี้ได้ ผลตอบแทนจึงสูงขึ้นตามระดับความเสี่ยง
กลุ่ม Unrated Bond เป็นกลุ่มที่ไม่มีการจัดอันดับเครดิต เป็นตราสารหนี้ที่ไม่ได้รับการพิจารณาให้จัดอันดับ ซึ่งตราสารหนี้กลุ่มนี้จะจูงใจด้วยผลตอบแทนสูง แต่ก็แลกมาด้วยความเสี่ยงที่สูงเช่นเดียวกัน
2.2ตราสารหนี้ภาครัฐบาล หรือพันธบัตรรัฐบาล จะไม่มีการจัดอันอับความน่าเชื่อถือ เนื่องจากภาครัฐมีความน่าเชื่อถือ โอกาสผิดนัดชำระหนี้น้อยสุด เป็นตราสารที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าตราสารหนี้เอกชน ผลตอบแทนก็จะต่ำด้วยเช่นกัน
3.ตราสารทุน
ผู้ถือตราสารทุน หรือ ผู้ถือหุ้น มีฐานะเป็นเจ้าของกิจการ มีส่วนร่วมได้เสียกับบริษัท โดยผู้ถือหุ้นจะได้รับส่วนแบ่งกำไร หรือในรูปแบบเงินปันผล รวมถึงสามารถสามารถขายหุ้นเพื่อทำกำไรเมื่อราคาหุ้นของกิจการปรับขึ้นอีกด้วย ตราสารทุนแบ่งออกเป็น 2
ประเภทหลัก ๆ ดังนี้
3.1 หุ้นบุริมสิทธิ เป็นเจ้าของกิจการเช่นเดียวกับผู้ถือหุ้นสามัญ แต่มีสิทธิที่จะได้รับเงินปันผลก่อนผู้ถือหุ้นสามัญในอัตราคงที่ และก็ยังคงมีสิทธิในสินทรัพย์ของกิจการหลังจากเจ้าหนี้ในกรณีที่เลิกกิจการ
3.2 หุ้นสามัญ ผู้ถือหุ้นสามัญมีส่วนได้เสียในสินทรัพย์ รายได้และกำไร ในฐานะเจ้าของกิจการ แต่จะได้รับสิทธิเป็นอันดับสุดท้าย แต่จะมีสิทธิในการร่วมตัดสินใจในการบริหารผ่านทางการลงคะแนนเสียง หรือมีสิทธิ์ในการซื้อหุ้นเพิ่มทุน เพื่อรักษาสัดส่วนของความเป็นเจ้าของ
การลงทุนทางเลือก: สินทรัพย์ที่ไม่ได้มีการลงทุนเหมือนสินทรัพย์ลงทุนทั่วไป เช่น หุ้น ตราสารหนี้ เป็นต้น โดยสินทรัพย์ทางเลือกที่ลงทุนในปัจจุบัน เช่น ทองคำ น้ำมัน อสังหาริมทรัพย์ หุ้นที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาด หรือสินทรัพย์ดิจิทัล เป็นต้น ซึ่งสินทรัพย์ทางเลือกไม่ได้สัมพันธ์ไปกับทิศทางตลาด ช่วยกระจายความเสี่ยงและสร้างผลตอบแทนทางเลือกให้กับพอร์ต แต่สินทรัพย์ทางเลือกมีการลงทุนเฉพาะตัว นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน

Image Source: Novel Investor
จากภาพข้างต้นจะเห็นได้ว่า ไม่มีสินทรัพย์ใดที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกได้ตลอดทุกช่วงเวลา แต่ละปีจะมีสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนที่โดนเด่น อย่างเช่น ปี 2021 กลุ่ม REIT (Real Estate Investment Trust) ให้ผลตอบแทนสูงถึง 41.3% แต่ปี 2020 กลุ่ม REIT ให้ผลตอบแทนต่ำสุดอยู่ที่ -5.1% จะเห็นได้ว่าสินทรัพย์ใดที่มีความเสี่ยงสูง ย่อมให้ผลตอบแทนสูงแต่ก็มีโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนที่ต่ำมาก เพราะความผันผวนนั่นเอง ดังนั้น เราควรจะกระจายความเสี่ยง โดยการกระจายการลงทุนในหลาย ๆ สินทรัพย์ อย่างที่เราเคยได้ยินกันว่า “Don’t put all eggs in one basket” อย่าเอาไข่ทั้งหมดใส่ไว้ในตะกร้าใบเดียว Asset Allocation จึงเป็นเรื่องที่สำคัญต่อนักลงทุนทุกคน ที่จะช่วยจัดพอร์ตการลงทุน พร้อมรับความผันผวน กับทุกสภาวะของตลาด และสร้างผลตอบแทนในระยะยาว
สำหรับใครที่ไม่ได้ปัดฝุ่นพอร์ตลงทุนของตัวเองมานานแล้ว สามารถอัปเดตสถานการณ์ตลาดและการลงทุนประจำเดือนได้ที่รายการ ปรับพอร์ต บนช่อง YouTube ของทาง InnovestX
คำเตือน
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต