ไม่ว่าจะเป็นการเทรดหุ้น ฟอเรกซ์ สกุลเงินดิจิทัล หรือสินทรัพย์ประเภทใดก็ตาม “Indicator” คือสิ่งที่เทรดเดอร์จะไม่รู้จักไม่ได้ ตรงกันข้าม ยิ่งใครทำความเข้าใจสิ่งนี้ละเอียดทะลุปรุโปร่ง หรือหยิบมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าไร โอกาสในการสร้างผลกำไรก็ยิ่งเปิดกว้าง ดังนั้น บทความนี้จึงจะมาเป็นตัวช่วยให้กับเทรดเดอร์ ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือเก๋าประสบการณ์ ด้วยการแนะนำ Indicator ที่นิยมใช้ในการเทรดหุ้น และได้รับการพิสูจน์มานานแล้วว่าช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเทรดได้จริง อธิบายแบบย่อยง่าย ติดตามได้เลย
อธิบายให้เข้าใจแบบง่าย ๆ Indicator คือ สูตรทางคณิตศาสตร์ที่คำนวณจากข้อมูลราคาและปริมาณการซื้อขายในอดีต เพื่ออธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และช่วยในการคาดการณ์แนวโน้มราคาในอนาคต โดยแสดงผลออกมาเป็นกราฟเส้นหรือแท่งบนหน้าจอ ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสภาวะตลาดในปัจจุบัน เช่น แนวโน้ม ความผันผวน หรือความแข็งแกร่งของราคา เพื่อช่วยให้เทรดเดอร์คาดการณ์ทิศทางของตลาดและตัดสินใจได้ดีขึ้น
⦁ Moving Average (MA): หรือ เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ เป็น Indicator ที่นิยมใช้สำหรับการเทรดหุ้นมากที่สุด โดยหลักการคือใช้ในการหาค่าเฉลี่ยของราคาหุ้นในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งสามารถช่วยในการมองเห็นแนวโน้มระยะสั้นและระยะยาวได้ นอกจากนี้ ยังสามารถใช้ในการวิเคราะห์หาจุดซื้อและจุดขายจากการตัดกันของเส้น MA โดยสัญญาณที่นิยมนำมาวิเคราะห์ คือ Gold Cross (พิจารณาเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน ตัดกับเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน) ซึ่งการคำนวณเส้นค่าเฉลี่ยมีวิธีการคำนวณได้หลายแบบ เช่น Simple Moving Average, Exponential Moving Average เป็นต้น
⦁ Relative Strength Index (RSI): Indicator ชนิดนี้คือสิ่งที่ใช้ในการวัดความแข็งแกร่งของราคาหุ้น ด้วยการเปรียบเทียบระหว่างการเพิ่มของราคาและการลดลงของราคา โดย RSI จะมีค่าระหว่าง 0 ถึง 100 โดยที่ค่ามากกว่า 70 แสดงถึงการมีการซื้อเกินไป (Overbought) และค่าน้อยกว่า 30 แสดงถึงการมีการขายเกินไป (Oversold) การใช้ RSI ช่วยให้เราสามารถประเมินความเสี่ยงและหาจุดกลับตัวของราคาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
⦁ Stochastic Oscillator: มีความคล้ายกับ RSI แต่จะวัดเทียบระหว่างราคาปิดกับช่วงราคาในรอบเวลาที่กำหนด โดยมี 2 เส้น คือ %K และ %D ถ้า %K ตัดขึ้นเหนือ %D ในโซน Oversold อาจเป็นสัญญาณซื้อ แต่ถ้าตัดลงต่ำกว่า %D ในโซน Overbought อาจเป็นสัญญาณขาย
⦁ Bollinger Bands (BB): ประกอบด้วย 3 เส้น คือ Moving Average ตรงกลาง เส้น Upper และ Lower ที่ห่างจากเส้นตรงกลางด้วยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ใช้สำหรับวิเคราะห์ความผันผวนของราคาเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า โดยถ้าราคาแกว่งตัวแคบอยู่ระหว่างเส้น Upper และ Lower แสดงว่าความผันผวนต่ำ ส่วนถ้าราคาแกว่งกว้างแล้วอยู่เหนือเส้น Upper หรือต่ำกว่าเส้น Lower แสดงว่ามีความผันผวนสูง และ ราคามีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ
⦁ MACD (Moving Average Convergence Divergence): แสดงความสัมพันธ์ระหว่าง Moving Average 2 ชุด โดยมีเส้น MACD และเส้น Signal รวมถึง Histogram ซึ่งถ้าเส้น MACD ตัดขึ้นเหนือเส้น Signal บ่งบอกสัญญาณแนวโน้มขาขึ้น ในทางกลับกัน ถ้าตัดลงก็ย่อมบ่งบอกสัญญาณแนวโน้มขาลง
ถึงตรงนี้ เมื่อได้ทราบแล้วว่า Indicator มีอะไรบ้าง เทรดเดอร์อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่า Indicator คือเครื่องมือวิเศษที่จะช่วยการันตีกำไรจากการเทรดได้ เพราะเจ้าสิ่งนี้เป็นเพียงตัวช่วยให้รู้ข้อมูลภาพรวมการเทรดมากขึ้นเท่านั้น นอกจากนั้น ถ้าอยากเพิ่มประสิทธิภาพการเทรดด้วย Indicator ก็ควรรู้วิธีการนำไปปรับใช้ที่เหมาะสม
คำแนะนำคือเราควรเลือกใช้ Indicator ที่นิยมใช้สำหรับการเทรดหุ้นแบบผสมผสาน ตัวอย่างเช่น
⦁ Moving Average (MA) คู่กับ Relative Strength Index (RSI): MA ช่วยในการดูแนวโน้มทิศทางของราคาในระยะกลางถึงยาว ในขณะที่ RSI ช่วยในการดูความแข็งแกร่งของการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของราคาในช่วงที่ผ่านมา ทั้งสองตัวนี้จะทำงานร่วมกันเพื่อยืนยันแนวโน้มและหาจุดเข้าซื้อหรือขายที่เหมาะสม
⦁ MACD คู่กับ Bollinger Bands (BB): MACD ช่วยในการวิเคราะห์แนวโน้มและหาจุดตัดของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ส่วน BB ช่วยในการวิเคราะห์ความผันผวนของราคา การใช้ทั้งสองตัวนี้ร่วมกันจะช่วยให้เราสามารถจับจังหวะการเคลื่อนไหวของราคาที่แม่นยำมากขึ้น
เชื่อว่าเทรดเดอร์ทุกคนคงรู้จักและใช้งาน “ TradingView” แพลตฟอร์มชั้นนำสำหรับการวิเคราะห์กราฟกันอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้ การเทรดของเราก็ย่อมมีประสิทธิภาพมากขึ้นถ้ารู้จักวิธีใช้ Indicator ใน TradingView โดยขั้นตอนก็ไม่ซับซ้อน เพียงทำตามนี้
⦁ เข้าสู่ระบบ TradingView: หากยังไม่มีบัญชี ให้สมัครสมาชิกและเข้าสู่ระบบ
⦁ เลือกสินทรัพย์ที่ต้องการวิเคราะห์: ไปที่หน้าหลักและเลือกสินทรัพย์ที่ต้องการ เช่น หุ้น สกุลเงิน หรือสินทรัพย์อื่น ๆ
⦁ เพิ่ม Indicator: คลิกที่ปุ่ม “Indicators” ที่อยู่ด้านบนของกราฟ จากนั้นค้นหา Indicator ที่ต้องการใช้งาน เช่น MA, RSI, MACD, BB เป็นต้น
⦁ ตั้งค่าค่า Parameter: ปรับค่า Parameter ของ Indicator ตามความต้องการ ซึ่งสามารถตั้งค่าได้หลากหลายเพื่อให้ตรงกับกลยุทธ์การเทรดของคุณ
⦁ วิเคราะห์กราฟ: ใช้ Indicator ที่เพิ่มเข้ามาช่วยวิเคราะห์หาจุดซื้อขายที่เหมาะสมบน TradingView
เมื่อเทรดเดอร์รู้จักการใช้ Indicator ระบุแนวรับแนวต้านใน TradingView ได้ ก็ย่อมทำให้เทรดเดอร์สามารถทำความเข้าใจพฤติกรรมของราคา วิเคราะห์แนวโน้ม และ ตัดสินใจในการซื้อขายได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
เทรดเดอร์คนไหนที่กำลังมองหาแพลตฟอร์มการเทรดที่สามารถเชื่อมต่อกับ TradingView เพื่อประสิทธิภาพการเทรดที่ดียิ่งขึ้น ขอแนะนำให้รู้จักแอปพลิเคชัน InnovestX รวมจักรวาลการลงทุนมาอยู่ในมือคุณ ซื้อได้หลากหลายประเภท ทั้งกองทุนรวมต่างประเทศ และหุ้น สามารถเลือกลงทุนได้ตามใจ พิชิตเป้าหมายทางการเงินได้อย่างที่ตั้งใจ และในตอนนี้มี TradingView ให้ใช้ฟรี ถือเป็นครั้งแรกในไทยที่คุณสามารถเทรดหุ้นไทยโดยตรงจาก TradingView กับหลากหลายโปรโมชั่นสุดคุ้ม สามารถเชื่อมต่อบัญชี InnovestX กับ TradingView ได้ง่าย ๆ ใน 3 ขั้นตอน ดาวน์โหลดได้ฟรีทั้งระบบ iOS และ Android การลงทุนมีความเสี่ยง แต่การไม่ลงทุนเลยอาจเสี่ยงยิ่งกว่า เริ่มลงทุนวันนี้เลย
คำเตือน
* การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศโดยตรงมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
ข้อมูลอ้างอิง:
⦁ 7 Technical Indicators to Build a Trading Toolkit. สืบค้นเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2567 จาก https://www.investopedia.com/top-7-technical-analysis-tools-4773275
⦁ Stock Market Indicators Investors Need To Know. สืบค้นเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2567 จาก https://www.forbes.com/uk/advisor/investing/stock-market-indicators-investors-need-to-know/