เคยไหม? ตื่นเช้ามาเปิดมือถือดูข่าว แล้วเจอตลาดร่วงหนัก 200-300 จุด หรือเห็นคำประกาศจาก Trump ว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนอีกรอบ แล้วเกิดอาการใจสั่น มือสั่น พร้อมกดขายหุ้นทิ้งทันที เพราะกลัวว่าเงินลงทุนจะหายไปมากกว่าเดิม
ถ้าคุณเคยรู้สึกเช่นนี้... คุณไม่ได้อยู่คนเดียว นี่คือสัญชาตญาณการอยู่รอดพื้นฐาน ที่อยู่คู่มนุษย์มานับล้านปี ทำให้เรามักตอบสนองต่อความเสี่ยงด้วยการ "หนี" ก่อนคิด แต่ในตลาดการลงทุน การหนีตามสัญชาตญาณอาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่ทำผลตอบแทนได้ต่ำกว่าดัชนีตลาดมาโดยตลอด
การศึกษาจาก JP Morgan Asset Management ที่วิเคราะห์ข้อมูลย้อนหลัง 20 ปี (2002-2022) พบว่าหากนักลงทุนลงทุนใน S&P 500 ตลอดระยะเวลา 20 ปีเต็ม จะได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 8.4% ต่อปี ซึ่งทำให้เงิน 100,000 บาท เติบโตเป็น 498,000 บาท
แต่หากพลาดเพียง 10 วันที่ตลาดให้ผลตอบแทนดีที่สุดในช่วง 20 ปีนั้น ผลตอบแทนเฉลี่ยจะลดเหลือเพียง 3.2% ต่อปีเท่านั้น ทำให้เงิน 100,000 บาท เติบโตเป็นเพียง 187,000 บาท หรือน้อยกว่าถึง 311,000 บาท!
และหากพลาด 20 วันที่ดีที่สุด ผลตอบแทนจะเหลือเพียง 0.6% ต่อปี
ที่น่าตกใจกว่านั้น หากพลาด 30 วันที่ดีที่สุด ผลตอบแทนจะติดลบถึง -1.5% ต่อปี ซึ่งหมายความว่าเงินลงทุนของคุณจะมีมูลค่าลดลงเมื่อเทียบกับเงินเฟ้อ แม้จะลงทุนมายาวนานถึง 20 ปีก็ตาม
คุณอาจสงสัยว่า เพียงแค่ 10 วันจาก 5,040 วันทำการในรอบ 20 ปี ทำไมถึงสำคัญมากขนาดนี้?
คำตอบคือ " วันที่ตลาดให้ผลตอบแทนดีที่สุด " มักเกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดผันผวนสูง และมักเกิดในช่วงเวลาใกล้เคียงกับ " วันที่ตลาดให้ผลตอบแทนแย่ที่สุด " เช่นกัน
ยกตัวอย่างจากข้อมูลการศึกษาตลาด S&P 500 ในช่วงวิกฤตโควิด-19:
วันที่ 16 มีนาคม 2020 : ตลาดลดลง 12.0% (วันที่แย่ที่สุด)
วันที่ 24 มีนาคม 2020 : ตลาดเพิ่มขึ้น 9.4% (วันที่ดีที่สุด)
วันที่ 12 มีนาคม 2020 : ตลาดลดลง 9.5% (วันที่แย่อันดับ 2)
วันที่ 13 มีนาคม 2020 : ตลาดเพิ่มขึ้น 9.3% (วันที่ดีอันดับ 2)
จะเห็นได้ว่า วันที่ตลาดให้ผลตอบแทนดีที่สุดและแย่ที่สุดมักเกิดขึ้นในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน นักลงทุนที่ตกใจกับการลดลงของตลาดและรีบถอนเงินออกไป จึงมักพลาดช่วงฟื้นตัวที่แรงและเร็วที่สุดด้วย
ในช่วงสงครามการค้าครั้งแรกของ Trump (2017-2019) ก็เช่นกัน พบว่าวันที่ตลาดฟื้นตัวหลังจากความกังวลเรื่องการขึ้นภาษีนำเข้าคลี่คลาย คือวันที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด 5 จาก 10 วันในช่วงเวลานั้น
ด้วยความผันผวนของตลาดและอารมณ์ความรู้สึก นักลงทุนส่วนใหญ่มักทำผิดพลาดในสองรูปแบบ:
การศึกษาจาก Dalbar แสดงให้เห็นว่านักลงทุนรายย่อยโดยเฉลี่ยมักกลับเข้าตลาดหลังจากที่ตลาดฟื้นตัวไปแล้ว 35% โดยเฉลี่ย นั่นหมายความว่า พวกเขาซื้อในราคาที่แพงกว่าที่ขายไป 35%!
หลายคนเชื่อว่าตนเองสามารถคาดเดาทิศทางตลาดได้ แต่ความจริงแล้ว แม้แต่ผู้จัดการกองทุนมืออาชีพก็ยังทำไม่ได้อย่างสม่ำเสมอ การศึกษาจาก Morningstar พบว่ากองทุนที่พยายามจับจังหวะตลาดมีผลตอบแทนต่ำกว่าตลาดโดยรวมถึง 1.5-2% ต่อปีโดยเฉลี่ย
ตัวอย่างจากชีวิตจริง: พลาดวันสำคัญ เสียโอกาสเท่าไร 💸
สมมติว่าคุณมีเงินลงทุน 100,000 บาท ในปี 2020 เมื่อเกิดวิกฤตโควิด-19:
นักลงทุน A : ตกใจกับการระบาดของโควิด-19 ขายหุ้นทั้งหมดในวันที่ 16 มีนาคม 2020 (วันที่ตลาดลดลงแรงที่สุด) และกลับเข้าลงทุนอีกครั้งในวันที่ 1 มิถุนายน 2020 เมื่อสถานการณ์ดูดีขึ้น
• ผลลัพธ์ : พลาดการฟื้นตัว 38% ของตลาดในช่วงเวลาดังกล่าว มูลค่าเงินลงทุน ณ สิ้นปี 2022 = 111,900 บาท
นักลงทุน B : ยังคงลงทุนต่อเนื่องตลอดวิกฤต และเพิ่มเงินลงทุนเล็กน้อยในช่วงที่ตลาดลด
• ผลลัพธ์ : ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของตลาด มูลค่าเงินลงทุน ณ สิ้นปี 2022 = 144,200 บาท
ความแตกต่าง : 32,300 บาท หรือคิดเป็น 29% จากเงินลงทุนตั้งต้น เพียงแค่ 2 ปีครึ่ง!
ในช่วงสงครามการค้าครั้งแรกสมัยประธานาธิบดี Trump ตลาดมีความผันผวนสูงเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อมีการประกาศนโยบายภาษีใหม่ๆ
ข้อมูลจาก Bloomberg แสดงให้เห็นว่า ในปี 2018-2019 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีวันที่ลดลงมากกว่า 2% ถึง 15 วัน แต่ก็มีวันที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 2% ถึง 13 วันเช่นกัน
นักลงทุนที่ตกใจกับความผันผวนและถอนเงินออกจากตลาดในช่วงนั้น ต้องพลาดโอกาสรับผลตอบแทนเมื่อตลาดฟื้นตัวในปี 2019 ที่ S&P 500 ให้ผลตอบแทนถึง 31.2% ซึ่งเป็นปีที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดปีหนึ่งในรอบ 10 ปี
1. มองการณ์ไกล เน้นเป้าหมายระยะยาว 🔭
ตั้งเป้าหมายการลงทุนให้ชัดเจน และยึดมั่นในแผนระยะยาว อย่าให้ความผันผวนระยะสั้นมาทำลายแผนของคุณ
2. ทยอยลงทุนอย่างสม่ำเสมอ (Dollar Cost Averaging) 💰
แบ่งเงินลงทุนเป็นก้อนเล็กๆ และลงทุนเป็นประจำทุกเดือนไม่ว่าตลาดจะขึ้นหรือลง วิธีนี้จะช่วยเฉลี่ยต้นทุนและลดความกังวลจากการจับจังหวะตลาด
3. มีเงินสำรองฉุกเฉินเพียงพอ 💲
หากคุณมีเงินสำรองฉุกเฉิน 6-12 เดือน คุณจะรู้สึกมั่นคงพอที่จะไม่ต้องกังวลกับความผันผวนระยะสั้นของตลาด
4. ใช้ "อัตโนมัติ" ให้เป็นประโยชน์ 🤖
ตั้งคำสั่งลงทุนอัตโนมัติทุกเดือน และหลีกเลี่ยงการเช็คพอร์ตลงทุนบ่อยเกินไป เพื่อลดการตัดสินใจด้วยอารมณ์
เมื่อเข้าสู่ปี 2025 กับสงครามการค้ารอบใหม่ของประธานาธิบดี Trump ตลาดการลงทุนมีแนวโน้มผันผวนอีกครั้ง โดยเฉพาะหลังการประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนและประเทศอื่นๆ
ข้อมูลล่าสุดจาก Bloomberg แสดงให้เห็นว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2025 ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ลดลง 2.25% จากจุดสูงสุดในเดือนมกราคม สะท้อนว่าตลาดเริ่มปรับตัวต่อนโยบายการค้าใหม่ และประวัติศาสตร์มักจะซ้ำรอย เมื่อวิเคราะห์จากสงครามการค้าครั้งแรก (2017-2019) จะพบว่าผลกระทบจากนโยบายภาษีมักจะเริ่มจางหายหลังจาก 40-45 วันแรก
นักลงทุนที่ยังคงลงทุนต่อเนื่องและไม่ตื่นตระหนกกับความผันผวนระยะสั้น มีโอกาสสูงที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดีเมื่อตลาดปรับตัวและฟื้นตัวในที่สุด
ถ้าบทความนี้มีบทเรียนสำคัญที่สุดเพียงข้อเดียว นั่นคือการ " อยู่กับตลาด " แม้ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก การพยายามหลบเลี่ยงวันที่ตลาดลดลงด้วยการออกจากตลาด มักนำไปสู่การพลาดวันที่ตลาดให้ผลตอบแทนดีที่สุดโดยไม่รู้ตัว และส่งผลให้ผลตอบแทนระยะยาวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
" Time in the market " สำคัญกว่า " Timing the market " เสมอ เพราะการอยู่ในตลาดอย่างต่อเนื่องในระยะยาวยังคงเป็นกลยุทธ์ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นวิธีการลงทุนที่ดีที่สุดสำหรับนักลงทุนทั่วไป
สุดท้ายนี้ ในทุกครั้งที่คุณรู้สึกกดดันให้ขายเพราะตลาดผันผวน ให้นึกถึงตัวเลข 10 วัน ไว้เสมอ... และถามตัวเองว่า " ฉันกำลังจะพลาดวันสำคัญของตลาดหรือไม่? "