Trading Basics

[Trader Foundation Series] Fear of Missing Out (FOMO): ไวรัสร้ายทำลายพอร์ต และวิธีฉีดวัคซีนป้องกัน

17 Dec 25 2:03 PM
รู้จักผลิตภัณฑ์ลงทุน3
สรุปสาระสำคัญ

Fear of Missing Out (FOMO)  คือความกลัวการตกรถที่ผลักดันให้เทรดเดอร์ ละทิ้งแผนและไล่ราคาจนล้างพอร์ต บทความนี้จะผ่าตัดต้นตอทางจิตวิทยาของ FOMO เช่น Herd Mentality และ Regret Aversion พร้อมนำเสนอ 3 คำถามฉุกเฉิน (The Stop Trigger) และกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงที่เป็นรูปธรรม เพื่อให้คุณหยุดการตัดสินใจตามอารมณ์ และสร้างวินัยการเทรดที่ยั่งยืนได้จริง จงเชื่อมั่นในแผนการของคุณ เพราะโอกาสในตลาดมีมาเสมอ

Fear of Missing Out (FOMO): ไวรัสร้ายทำลายพอร์ต และวิธีฉีดวัคซีนป้องกัน

 

วินาทีที่คุณพลาดโอกาสที่รู้สึกว่าสามารถทำกำไรได้ และรู้สึกเสียดาย

คุณเคยรู้สึกแบบนี้ไหม?

คุณกำลังนั่งมองหน้าจออย่างใจเย็น ตัดสินใจว่าราคาในขณะนี้ ยังไม่เข้าเงื่อนไข ตามระบบที่คุณวางไว้ แต่แล้ว… กราฟก็ทะยานขึ้นอย่างรุนแรง พุ่งแรงจนแทบจะตั้งฉาก พอร์ตของคนอื่นเริ่มส่งสัญญาณ "กำไร" "กำไร" "กำไร" ราวกับเสียงไซเรน

วินาทีนั้นเอง เสียงเล็ก ๆ ในหัวก็กระซิบว่า: "เข้าตอนนี้เลย! ยังทัน! ไม่งั้นจะตกรถครั้งสำคัญในชีวิต!"

นั่นแหละครับ คืออาการของ Fear of Missing Out (FOMO) ไวรัสทางจิตวิทยาที่ระบาดในตลาดการเงินตลอดกาล ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น, Futures, หรือ Options โดยเฉพาะในตลาดที่เคลื่อนไหวเร็วและมี Leverage สูงอย่าง Futures และ Options อาการ FOMO สามารถเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คุณละทิ้งแผน, เข้าเทรดในราคาที่ไม่เหมาะสม, และสุดท้ายคือการ ล้างพอร์ต ในเวลาอันรวดเร็ว

ในบทความนี้ เราจะมาผ่าตัดทำความเข้าใจอาการ FOMO ตั้งแต่ระดับจิตวิทยา ไปจนถึงกลยุทธ์การป้องกันที่เป็นรูปธรรม เพื่อให้คุณสามารถกลับมาเทรดด้วยเหตุผลแทนอารมณ์ และสร้างกำไรในระยะยาวได้อย่างยั่งยืน

 

FOMO คืออะไร และทำไมมันถึงอันตรายในตลาด F&O?

 

What (FOMO คืออะไร)

FOMO (Fear of Missing Out) คือความรู้สึกกระวนกระวายหรือวิตกกังวลว่าเหตุการณ์ที่น่าสนใจและสร้างผลประโยชน์กำลังเกิดขึ้นโดยที่เราไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมัน ในบริบทของการเทรด มันคือความกลัวว่า:

  1. คุณจะพลาดโอกาสทำกำไรก้อนใหญ่ (The Big Move)
  2. คนอื่นกำลังได้เงิน ในขณะที่คุณกำลังอยู่เฉย ๆ หรือขาดทุน

Why (ทำไม FOMO ถึงอันตรายต่อเทรดเดอร์ F&O)

ธรรมชาติของตลาด Futures และ Options มีคุณสมบัติที่เพิ่มความรุนแรงของ FOMO ให้สูงขึ้นกว่าตลาดหุ้นทั่วไป:

  • Leverage (อำนาจการกู้ยืมสูง): โอกาสในการทำกำไรทวีคูณ ทำให้ความกลัวที่จะพลาดโอกาส (The Missed Gain) รุนแรงขึ้นตามไปด้วย
  • Time Decay (ค่าเสื่อมเวลาใน Options): สำหรับ Options ยิ่งราคาวิ่งช้าหรือไม่วิ่งตามที่คาดการณ์ มูลค่าของ Options ก็จะลดลงตามเวลา (Time Decay) ทำให้เกิดความกดดันทางจิตวิทยาให้ต้อง "รีบทำอะไรสักอย่าง" ก่อนที่มูลค่าจะหมดไป
  • ความผันผวนสูง (High Volatility): การเคลื่อนไหวของราคาที่รวดเร็วและรุนแรง ทำให้สมองสั่งการให้รีบเข้าเทรดโดยอัตโนมัติ (Fight or Flight Response)

       "การเทรดที่แย่ที่สุด มักจะเกิดจากความกลัวที่จะพลาดการเทรด"

 

Herd-mentality.jpg

 

ต้นตอทางจิตวิทยาของ FOMO

FOMO ไม่ใช่เรื่องของความโลภเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากหลักการทางจิตวิทยาที่ฝังลึกในตัวมนุษย์:

  1. The Herd Mentality (จิตวิทยาฝูงชน)

มนุษย์ถูกออกแบบมาให้ปลอดภัยเมื่ออยู่กับฝูงชน เมื่อคุณเห็นคนอื่นทำกำไร (โดยเฉพาะบนโซเชียลมีเดีย) สมองจะตีความว่า "การทำตามฝูงชนนั้นปลอดภัยและให้ผลตอบแทน" ทำให้คุณยอมละทิ้งการวิเคราะห์ของตัวเองเพื่อเข้าร่วมกระแส

  1. The Recency Bias (อคติจากเหตุการณ์ล่าสุด)

เมื่อเห็นราคาพุ่งแรงติดต่อกันหลายแท่งเทียน ความคิดที่ครอบงำคือ "มันจะพุ่งต่อไปอีกแน่ ๆ" โดยละเลยสถิติทางประวัติศาสตร์และหลักการทางเทคนิคที่บอกว่า การเคลื่อนไหวที่รุนแรงมักจะตามมาด้วยการพักฐานหรือการกลับตัว

  1. The Need for Certainty (ความต้องการความมั่นใจ)

เมื่อคุณพลาดการเข้าเทรดครั้งหนึ่งไปแล้ว คุณจะพยายาม "ไล่" ตลาดเพื่อพิสูจน์ให้ตัวเองเห็นว่า คุณคิดถูก เกี่ยวกับทิศทางนั้น ๆ การเทรดครั้งถัดไปจึงเป็นการเทรดที่ขับเคลื่อนด้วย "อัตตา" (Ego) ไม่ใช่ "ระบบ" (System)

 

Screenshot-2025-12-17-162346.png

 

อ่านบทความเกี่ยวกับการใช้ Wyckoff Method เพิ่มเติมได้ที่นี่

 

The Solution:  วิธีฉีดวัคซีนป้องกัน FOMO ให้กับพอร์ตของคุณ

การรักษา FOMO ไม่ใช่การห้ามความรู้สึก แต่เป็นการสร้างระบบและวินัยที่แข็งแกร่งกว่าอารมณ์ เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจได้ตามแผนการเทรด (Trading Plan) ที่ผ่านการทดสอบมาแล้ว

 

ปรับเปลี่ยน Mindset: จาก "ต้องได้" เป็น "ต้องทำตามแผน"

Mindset แบบ FOMO

Mindset แบบมืออาชีพ (The Wise Mentor)

เป้าหมาย: ทำกำไรจากทุกความเคลื่อนไหวของตลาด

เป้าหมาย: ทำกำไรจากโอกาสที่ เข้าเงื่อนไข เท่านั้น

เมื่อพลาดโอกาส: รู้สึกเสียดาย, โกรธตัวเอง, รีบไล่ราคา

เมื่อพลาดโอกาส: รู้สึกเฉย ๆ, รู้ว่าโอกาสใหม่จะมาเสมอ

คำถาม: "ถ้าเข้าตอนนี้ จะได้เท่าไหร่?"

คำถาม: "จุดเข้าที่ดีที่สุดอยู่ตรงไหนตามระบบของฉัน? และความเสี่ยงคือเท่าไหร่?"

 

วิธีปฏิบัติ: ทุกครั้งที่คุณรู้สึกอยากเข้าเทรดเพราะ FOMO ให้หยุดและถามตัวเอง 3 ข้อ:

  1. "นี่คือจุดเข้าตามแผนข้อที่ X ของฉันหรือไม่?" (คำตอบต้องเป็น 'ใช่' เท่านั้น)
  2. "ถ้าฉันเข้าตอนนี้, Risk-Reward Ratio (อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน) ยังคุ้มค่าอยู่หรือไม่?"
  3. "ฉันพลาดโอกาสนี้ไปแล้ว และตลาดกำลังให้โอกาสที่สอง (Second Chance) ที่เหมาะสมหรือไม่?"

 

การบริหารความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์ (Strategic Risk Management)

  • กำหนด "Daily Loss Limit" ที่เป็นตัวเลขตายตัว: นี่คือเครื่องมือเบรกที่สำคัญที่สุดในรถ F1 ของคุณ เมื่อขาดทุนถึงจุดนี้ ให้ปิดคอมพิวเตอร์ทันที ไม่ว่าตลาดจะวิ่งไปในทิศทางที่คุณคาดการณ์หรือไม่ก็ตาม การหยุดเทรดคือการป้องกันไม่ให้ FOMO มาบังคับให้คุณ "เอาคืน"
  • ใช้ Pending Orders (คำสั่งที่รอ): เลิกใช้คำสั่ง Market Order ในช่วงที่ตลาดผันผวนสูง ให้กำหนดจุดเข้าที่ชัดเจนล่วงหน้าด้วย Limit Order หรือ Stop Order การทำเช่นนี้ทำให้คุณต้อง "คิด" ล่วงหน้า ไม่ใช่ "ทำ" ตามอารมณ์
  • ฝึกทักษะการรอ (The Art of Waiting): การเทรดที่ดีคือการรอคอยอย่างเบื่อหน่าย ฝึกการเทรดให้น้อยลงแต่มีคุณภาพมากขึ้น จงเชื่อมั่นว่า โอกาสในตลาดจะเกิดขึ้นเสมอ (The Market Never Closes) และการพลาดโอกาสเล็กน้อยหนึ่งครั้ง ไม่สามารถทำลายแผนการเงินในระยะยาวของคุณได้

  

ตัวอย่าง FOMO โศกนาฏกรรมของนักไล่ราคา

จำลองสถานการณ์:  เทรดเดอร์ Z เห็นราคา Futures ของ SET50 Index พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากที่เพิ่งประกาศข่าวดีบางอย่าง เดิมทีเทรดเดอร์ Z มีแผนจะเข้าที่แนวรับสำคัญ แต่ราคาทะลุแนวต้านนั้นขึ้นไปอย่างรวดเร็ว

  • การตัดสินใจแบบ FOMO: เทรดเดอร์ Z กลัวว่าจะไม่ได้กำไรก้อนนี้ จึงรีบเข้าซื้อทันทีที่ราคาสูงสุด (All-time High) โดยตั้ง Stop Loss กว้างเกินกว่าที่ระบบกำหนดไว้
  • ผลลัพธ์: ราคาย่อตัวลงมาพักฐานอย่างรวดเร็วหลังทำราคาสูงสุด เทรดเดอร์ Z ถูก Stop Loss อย่างรวดเร็วด้วยขนาด Position ที่ใหญ่เกินตัว เพราะต้องการ "กู้คืน" โอกาสที่พลาดไป การเทรดครั้งเดียวนี้กินกำไรที่ทำมาทั้งสัปดาห์
  • บทเรียน: การไล่ราคา (Chasing the Price) คือการเข้าเทรดในราคาที่ไม่เป็นไปตามระบบของคุณ การทำเช่นนี้ทำให้คุณมีความเสี่ยงสูงสุด (Potential Risk) และมีผลตอบแทนต่ำสุด (Potential Reward) เสมอ

มืออาชีพไม่ได้ทำกำไรจากทุกการเคลื่อนไหว แต่ทำกำไรจาก "การเคลื่อนไหวที่อยู่ในแผน" เท่านั้น

 

สรุปและสิ่งที่ต้องทำ

FOMO คือสัญญาณที่บอกว่าคุณกำลังปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล วิธีเดียวที่จะฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตัวนี้ได้อย่างถาวรคือการสร้าง Trading Routine และ วินัย ที่แข็งแกร่ง

3 กฎเหล็กสู่การเป็นเทรดเดอร์ที่ไร้ FOMO:

  1. จงเชื่อในแผนของคุณ (Trust Your System): ถ้ามันไม่เข้าเงื่อนไข จงอย่าเทรด การไม่ทำอะไรคือการเทรดที่ยอดเยี่ยมที่สุดในบางครั้ง
  2. จงทำตัวเป็นนักล่า (The Hunter): นั่งรอให้เหยื่อ (โอกาส) เดินเข้ามาในกับดัก (จุดเข้าตามแผน) อย่าวิ่งไล่เหยื่อ (อย่าไล่ราคา) เพราะคุณจะเหนื่อยและใช้กระสุนหมดเปลือง
  3. จงอยู่กับปัจจุบัน (Focus on the Now): โอกาสที่พลาดไปแล้วคือ ค่าเรียน ที่จ่ายไปแล้ว จงมุ่งเน้นที่การบริหารความเสี่ยงของการเทรดครั้งต่อไปให้ดีที่สุดเท่านั้น

 

การบ้านเล็ก ๆ: ในการเทรดครั้งต่อไป หากคุณรู้สึกอยากเข้าเทรดเพราะเห็นราคาวิ่งแรง ให้คุณพิมพ์คำว่า "No Plan, No Trade" ลงในสมุดบันทึกของคุณ 3 ครั้ง ก่อนจะตัดสินใจกดปุ่ม(การทำสิ่งนี้จะช่วยให้คุณเบี่ยงเบนความสนใจจากราคาและอารมณ์ ณ ขณะนั้นลงได้ เพื่อช่วยไม่ให้คุณตัดสินใจตามอารมณ์ในทันที )

 

แนวคิดในบทความนี้อิงตามหลักการของจิตวิทยาการลงทุน (Behavioral Finance) ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่เทรดเดอร์มืออาชีพทุกคนต้องทำความเข้าใจ:

  1. รากฐานทางจิตวิทยา: Behavioral Finance (พฤติกรรมการเงิน)

แนวคิดเรื่อง FOMO, Herd Mentality, และอคติทางอารมณ์ มีรากฐานจากการศึกษาพฤติกรรมการเงินที่ระบุว่า การตัดสินใจของนักลงทุนไม่ได้สมเหตุสมผลเสมอไป แต่ถูกขับเคลื่อนด้วยอารมณ์:

  1. Herd Mentality (จิตวิทยาฝูงชน) และ FOMO

Herd Mentality เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เทรดเดอร์ละทิ้งแผนและวิ่งตามราคา เพราะกลัวที่จะเป็นคนเดียวที่พลาดโอกาส (FOMO)

  1. Regret Aversion (การหลีกเลี่ยงความเสียใจจากการพลาดโอกาส)

ความกลัวที่จะเสียใจเพราะ "ไม่ได้ทำ" (ไม่ได้เข้าเทรด) นั้นรุนแรงกว่าความกลัวการขาดทุนปกติ และเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้เกิด FOMO:

  1. Loss Aversion (การหลีกเลี่ยงการสูญเสีย)

ถึงแม้จะไม่ใช่สาเหตุหลักของ FOMO โดยตรง แต่ Loss Aversion ก็ทำให้เกิดอาการ "เอาคืน" (Revenge Trading) หลังจากการเทรดแบบ FOMO ที่ผิดพลาด ซึ่งเป็นพฤติกรรมทำลายพอร์ตที่ต่อเนื่องกัน

 

Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5