BYD Company (BYD) บริษัทผู้ผลิตรถยนต์พลังงานใหม่ (New Energy Vehicle) จากจีนที่กำลังสร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการยานยนต์โลก ด้วยการเป็นผู้นำโลกในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าและปลั๊กอินไฮบริด กับส่วนแบ่งตลาดโลกกว่า 20% จากยอดขายเกือบ 14 ล้านคันของรถยนต์ไฟฟ้าและปลั๊กอินไฮบริดทั่วโลก บริษัทแห่งนี้ไม่เพียงแต่โดดเด่นในด้านยอดขาย แต่ยังมีจุดแข็งสำคัญจากการผลิตแบตเตอรี่และการควบคุมห่วงโซ่อุปทานแบบครบวงจร
BYD ก่อตั้งขึ้นในปี 1995 โดย Wang Chuanfu ด้วยการเริ่มต้นเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่สำหรับโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ก่อนจะเข้าสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ในปี 2003 ด้วยการซื้อกิจการ Qinchuan Automobile บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่ประสบปัญหาทางการเงิน
การเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญมาถึงเมื่อ Warren Buffett ตัดสินใจลงทุนใน BYD ผ่าน Berkshire Hathaway ในปี 2008 ด้วยจำนวนเงิน 230 ล้านดอลลาร์สหรัฐ การลงทุนครั้งนี้ไม่เพียงแต่ให้เงินทุนแก่ BYD เท่านั้น แต่ยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดเรื่องศักยภาพในอนาคตของบริษัท ต่อมาในปี 2022 Berkshire Hathaway เริ่มทยอยขายหุ้น BYD บางส่วนเพื่อลดสัดส่วนการถือครอง แต่ยังคงถือหุ้นประมาณ 8% ของบริษัทจนถึงปัจจุบัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพระยะยาวของ BYD
BYD ได้พัฒนาเทคโนโลยี Blade Battery (แบตเตอรี่ใบมีด) ที่ใช้เคมี Lithium Iron Phosphate (LFP) ซึ่งมีความปลอดภัยสูงกว่าแบตเตอรี่แบบเดิม และเปิดตัวซูเปอร์แพลตฟอร์ม e-Platform ที่รองรับการชาร์จแบบซูเปอร์ฟาสต์ 1,000 กิโลวัตต์ ทำให้สามารถชาร์จไฟฟ้าสำหรับระยะทาง 400 กิโลเมตรภายในเวลาเพียง 5 นาที
หมายเหตุ: BYD Auto ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีแบตเตอรี่ ไม่ใช่บริษัทเดียวกับ BYD Electronic ซึ่งเป็นบริษัทในเครือที่เน้นธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ เช่น ชิ้นส่วนโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์อัจฉริยะ ทั้งสองบริษัทจดทะเบียนแยกกันในตลาดหุ้นจีน
BYD ดำเนินธุรกิจผ่าน 4 สายธุรกิจหลัก โดยมีรายได้มาจาก:
กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตสูงจากนโยบาย Net Zero ทั่วโลกและการเร่งเปลี่ยนผ่านจากรถน้ำมันสู่ BEV โดยเฉพาะในจีน ยุโรป และสหรัฐฯ ที่เร่งยุติการขายรถเครื่องยนต์ภายในภายในปี 2035
กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตสูงในช่วงเปลี่ยนผ่าน เนื่องจากผู้บริโภคยังต้องการความยืดหยุ่นด้านระยะทางและโครงสร้างพื้นฐานชาร์จยังไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่
กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตสูงจากความต้องการแบตเตอรี่และชิ้นส่วน EV ที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยมีแรงหนุนจากการเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าและระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ
กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตสูงจากการเร่งเปลี่ยนรถขนส่งสาธารณะและโลจิสติกส์สู่ระบบไฟฟ้า โดยเฉพาะในประเทศพัฒนาแล้วที่มีการสนับสนุนเชิงนโยบายอย่างเข้มข้น
กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเติบโตสูงจากการขยายตัวของพลังงานสะอาดและการใช้ระบบกักเก็บพลังงานควบคู่กับ EV Ecosystem ทั่วโลก
BYD มีกลยุทธ์การบูรณาการแนวตั้ง (Vertical Integration) โดยผลิตชิ้นส่วนสำคัญเกือบทั้งหมดด้วยตนเอง ตั้งแต่แบตเตอรี่ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ไปจนถึงระบบขับเคลื่อน ทำให้สามารถควบคุมต้นทุนและคุณภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แม้ว่ายอดขายส่วนใหญ่ของ BYD จะมาจากตลาดในประเทศจีน แต่บริษัทกำลังเร่งขยายการส่งออกและสร้างฐานการผลิตในต่างประเทศ โดยมีโรงงานในประเทศไทยที่ดำเนินการแล้วในจังหวัดระยองในปี2024 และกำลังก่อสร้างโรงงานในฮังการี บราซิล และตุรกี เพื่อรองรับการเติบโตในตลาดยุโรปและอเมริกาใต้
การขยายตัวสู่ตลาดยุโรปของ BYD แม้จะต้องเผชิญกับภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้น แต่บริษัทยังคงมีแผนที่จะใช้โรงงานในฮังการีเป็นฐานในการผลิตและจำหน่ายในยุโรป ขณะที่ในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอเมริกาใต้ก็มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี
เทียบกับ Tesla (TSLA): Tesla โฟกัสผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ล้วน (BEV) พร้อมระบบขายตรงถึงลูกค้าและสถานีชาร์จ Supercharger ที่ครอบคลุม ในขณะที่ BYD มีผลิตภัณฑ์หลากหลายทั้ง BEV, ปลั๊กอินไฮบริด และรถบัสไฟฟ้า Tesla ใช้แบตเตอรี่ NCA/NMC ที่ให้พลังงานสูงแต่ต้นทุนสูง ส่วน BYD ใช้แบตเตอรี่ LFP ที่เน้นความปลอดภัยและต้นทุนต่ำ ด้านเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติ Tesla มีระบบ Autopilot ขั้นสูง ขณะที่ BYD ยังอยู่ในช่วงเริ่มพัฒนา Tesla มุ่งตลาดพรีเมียม ส่วน BYD ครอบคลุมตั้งแต่รถราคาประหยัดจนถึงหรู
ARUN PLUS เป็นบริษัทร่วมทุนของ PTT โดยตรง (100% ถือหุ้นโดย PTT) ในตลาดไทย แม้จะไม่มีบริษัทที่ทำธุรกิจของเล่นสะสมเหมือนกันโดยตรง แต่กลุ่ม ปตท. ก็มีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศ EV ของประเทศ ผ่านการลงทุนในทุกมิติ ตั้งแต่การผลิตรถ EV ร่วมกับ Foxconn ในนาม Horizon Plus การให้บริการเช่ารถผ่าน EVme การพัฒนาแบตเตอรี่ในประเทศผ่าน Innobatt ไปจนถึงการขยายสถานีชาร์จใน PTT Station ทั่วประเทศ ขณะที่ BYD เป็นผู้ผลิต EV แบบครบวงจรที่ควบคุมทุกขั้นตอนด้วยตัวเอง ตั้งแต่แบตเตอรี่ถึงรถยนต์ภายใต้แบรนด์ของตนเอง ทำให้สามารถแข่งขันได้ทั้งด้านเทคโนโลยีและต้นทุนในระดับโลก
แม้ว่า BYD จะครองส่วนแบ่งตลาดรถยนต์พลังงานใหม่ในระดับโลกได้อย่างแข็งแกร่ง แต่เส้นทางข้างหน้ายังเต็มไปด้วยความท้าทาย ทั้งจากแรงกดดันภายนอกและการแข่งขันภายในประเทศ
ในระดับสากล BYD ต้องรับมือกับมาตรการกีดกันทางการค้า โดยเฉพาะในยุโรปที่เริ่มมีแนวโน้มขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์จากจีน เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ สิ่งนี้อาจกระทบต่อราคาจำหน่ายและกำไรของ BYD ในภูมิภาคที่มีศักยภาพสูงนี้
ในขณะเดียวกัน การชะลอตัวของยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในบางตลาด เนื่องจากการลดแรงจูงใจจากภาครัฐและปัญหาโครงสร้างพื้นฐานด้านสถานีชาร์จ อาจส่งผลต่ออัตราการเติบโตในระยะสั้น อีกทั้งคู่แข่งรายสำคัญอย่าง Tesla, Volkswagen, Hyundai รวมถึงผู้เล่นจีนรายอื่น เช่น Nio และ Xpeng ต่างเร่งพัฒนาเทคโนโลยีใหม่และลดราคาสินค้าอย่างต่อเนื่อง ทำให้ BYD ต้องปรับกลยุทธ์และรักษาความสามารถในการแข่งขันให้ได้ตลอดเวลา
แม้จะมีอุปสรรค แต่ BYD ยังคงมีโอกาสมหาศาลรออยู่ข้างหน้า ด้วยจุดแข็งด้านเทคโนโลยีแบตเตอรี่ การควบคุมห่วงโซ่อุปทาน และการบูรณาการการผลิตในแนวดิ่งแบบครบวงจร
หนึ่งในความได้เปรียบของ BYD คือความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นแบตเตอรี่ Blade Battery ที่ขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัย หรือระบบ e-Platform ที่รองรับการชาร์จความเร็วสูง ช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มมูลค่าให้กับแบรนด์
การขยายโรงงานในต่างประเทศ เช่น ไทย ฮังการี บราซิล และตุรกี ยังเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านราคาในตลาดโลก นอกจากนี้ BYD ยังสามารถต่อยอดเทคโนโลยีไปยังผลิตภัณฑ์ในกลุ่มพลังงานสะอาดอื่น ๆ เช่น ระบบจัดเก็บพลังงาน (Energy Storage) และโซลาร์เซลล์ ซึ่งเป็นตลาดที่มีแนวโน้มเติบโตสูงในอนาคต
ด้วยการวางกลยุทธ์ที่ชัดเจน วิสัยทัศน์ระยะยาว และความสามารถในการปรับตัว BYD มีศักยภาพที่จะไม่เพียงเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า แต่ยังกลายเป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีพลังงานสะอาดระดับโลกอย่างแท้จริง
สนใจลงทุนในหุ้น BYD และหุ้นเทคโนโลยีอื่น ๆ จากทั่วโลกได้ง่าย ๆ ผ่านแอปพลิเคชัน InnovestX ที่ให้คุณเข้าถึงการลงทุนระดับโลกได้แบบไร้ขีดจำกัด สนใจเปิดบัญชีลงทุน
คลิก https://innovestx.onelink.me/23if/2jlpsi7b
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษา ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน