Keyword
Company History

HSBC Holding plc (0005.HK) : ธนาคารระดับโลกจากเอเชีย ที่กำลังโตแรงด้วยการค้า Wealth และดิจิทัล

22 Aug 25 3:37 PM
HSBC (0005HK)
สรุปสาระสำคัญ

HSBC (0005.HK) เป็นสถาบันการเงินระดับโลกที่ผสมผสานทั้งความแข็งแกร่งด้านธุรกิจดั้งเดิมกับการปรับตัวสู่อนาคต จุดเด่นแรกคือ การครองความเป็นผู้นำในธุรกิจการเงินการค้าระหว่างประเทศ (Trade Finance) มูลค่าราว US$850billion ในปีที่ผ่านมา และยังได้รับการจัดอันดับเป็น ธนาคาร Trade Finance ที่ดีที่สุดในโลก ต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 จากการสำรวจของ Euromoney ซึ่งสะท้อนถึงการบริการและนวัตกรรมที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ความเชี่ยวชาญด้าน Trade Finance ทำให้ HSBC เป็นพาร์ตเนอร์หลักของบริษัทข้ามชาติในด้านการเติมสภาพคล่องสำหรับเงินทุนหมุนเวียน (working capital), รับประกัน letter of credit, การจัดการความเสี่ยง เช่น ความเสี่ยงด้านเครดิต ที่เกิดจากการชำระเงินของคู่ค้า และ ความเสี่ยงด้านสกุลเงิน ที่เกิดจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ตลอดจนสนับสนุนการทำธุรกรรมระหว่างประเทศให้ดำเนินไปอย่างราบรื่นและมั่นคง

 

อีกหนึ่งเสาหลักคือ การเติบโตของธุรกิจจัดการความมั่งคั่ง (Wealth Management) โดยเฉพาะในเอเชียที่กำลังเกิดชนชั้นมั่งคั่งใหม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยผลักดันรายได้ค่าธรรมเนียมระยะยาวและทำให้ HSBC เป็นหนึ่งในผู้นำด้าน Private Banking ของภูมิภาค

 

พร้อมกันนี้ HSBC ยังเดินหน้าสร้างความได้เปรียบเชิงเทคโนโลยี ผ่านการลงทุนในแพลตฟอร์มดิจิทัล การใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า ระบบโอนเงินข้ามประเทศแบบทันที และนวัตกรรมการชำระเงิน เช่น PayMe เป็น mobile payment app ของ HSBC ที่โดดเด่นด้วยการโอนเงินและการ split bill หรือ การหารบิล แบบ real-time ซึ่งช่วยหารแบ่งค่าใช้จ่ายร่วมกัน เช่น เวลาไปทานอาหารกับเพื่อน ระบบจะช่วยคำนวณและให้แต่ละคนโอนเงินส่วนที่ตัวเองต้องจ่ายทันที โดยไม่จำกัดว่าผู้ใช้นั้นถือบัญชีธนาคารใด สิ่งเหล่านี้ช่วยทั้งขยายฐานลูกค้าและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน

จากเฮียพ่อค้าฝิ่นสู่ยักษ์ใหญ่การธนาคารโลก

HSBC ก่อตั้งขึ้นในฮ่องกงเมื่อปี 1865 ภายใต้ชื่อ The Hongkong and Shanghai Banking Corporation เพื่อรองรับการค้าระหว่างจีน อินเดีย และยุโรป ช่วงแรกมีบทบาทสำคัญในการให้เงินทุนแก่การค้าสินค้าระหว่างจีนกับอังกฤษ การเติบโตครั้งใหญ่เกิดขึ้นในทศวรรษ 1980–1990 เมื่อ HSBC ควบรวมกิจการกับธนาคารชั้นนำ เช่น Midland Bank ในอังกฤษ (1992) และ Republic New York Corporation ในสหรัฐฯ (1999) จนกลายเป็นธนาคารข้ามชาติอย่างแท้จริง

 

หลังวิกฤตการเงินปี 2008 ธนาคารปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่ โดยขายธุรกิจในตลาดที่ไม่ใช่แกนหลัก และหันมาเน้นการลงทุนในเอเชีย โดยเฉพาะจีนและฮ่องกงที่เป็นฐานหลัก ปัจจุบัน HSBC มีสินทรัพย์รวมกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เครือข่ายครอบคลุมกว่า 60 ประเทศ และทำธุรกิจหลักทั้ง Trade Finance, Wealth Management และการธนาคารเชิงพาณิชย์ พร้อมเดินหน้าลงทุนใน Digital Transformation เช่น Mobile Banking, AI และระบบชำระเงินข้ามพรมแดน เพื่อเสริมศักยภาพการแข่งขันในอนาคต

  

โครงสร้างรายได้ แบ่งออกมาเป็น 3 ธุรกิจหลัก

 

Picture17.png

 

  1. Banking Net Interest Income NII (60%)

รายได้หลักของ HSBC มาจากส่วนต่างดอกเบี้ยระหว่างเงินกู้และเงินฝาก รวมถึงการลงทุนในพันธบัตรและสินทรัพย์ดอกเบี้ยคงที่ รายได้ส่วนนี้มีความมั่นคงสูง และเคลื่อนไหวตามนโยบายดอกเบี้ยโลก

 

  1. Wholesale Transaction Banking (16%)

รายได้จากธุรกรรมของลูกค้าองค์กรและสถาบัน ครอบคลุมการค้าระหว่างประเทศ การบริหารสภาพคล่อง และการโอนเงินข้ามพรมแดน HSBC มีจุดแข็งในเอเชีย โดยเฉพาะจีน ฮ่องกง และสิงคโปร์ จึงได้ประโยชน์จากการเติบโตของการค้าระหว่างประเทศ

 

  1. Wealth (13%)

ธุรกิจบริหารความมั่งคั่งและการลงทุน เช่น Private Banking สำหรับลูกค้ารายใหญ่ บริหารกองทุนและ ETF ตลอดจนผลิตภัณฑ์ประกันและการลงทุนระยะยาว ธุรกิจนี้กำลังเติบโตเร็ว โดยเฉพาะในเอเชียที่มีเศรษฐีใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

  1. Other (11%)

รายได้เสริมจากค่าธรรมเนียมธุรกรรมทั่วไป การซื้อขายในตลาดทุน และบริการ FX/Hedging สำหรับลูกค้าองค์กร แม้สัดส่วนไม่มาก แต่ช่วยให้รายได้ของ HSBC หลากหลายและรับมือกับความผันผวนได้ดียิ่งขึ้น

 

จุดแข็งทางธุรกิจของ HSBC

HSBC ถือเป็นหนึ่งในธนาคารชั้นนำของโลกที่โดดเด่นทั้งด้านความมั่นคง ความหลากหลายของธุรกิจ และการนำนวัตกรรมมาปรับใช้ จุดแข็งสำคัญคือการเป็นผู้นำในหลายธุรกิจหลัก พร้อมทั้งความสามารถในการปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกการเงินยุคใหม่

  1. ผู้นำด้านการเงินการค้า (Trade Finance)

HSBC ครองส่วนแบ่งตลาดโลกในธุรกิจ Trade Finance ราว 10% ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในบรรดาธนาคารนานาชาติ ด้วยบริการครบวงจรตั้งแต่ Letter of Credit, Supply Chain Finance จนถึง วิธีการชำระเงินในการค้าระหว่างประเทศ ที่ธนาคารทำหน้าที่เป็น ตัวกลางจัดการเอกสาร ระหว่างผู้ซื้อ (Importer) และผู้ขาย (Exporter) ธนาคารจึงกลายเป็น “คู่ค้าหลัก” ของบริษัทข้ามชาติทั่วโลก รายได้ส่วนนี้มีความมั่นคงและไม่ผันผวงง่าย แม้เศรษฐกิจโลกจะมีความท้าทายก็ตาม

 

  1. การเติบโตของ Wealth Management

อีกเสาหลักที่กำลังมาแรงคือธุรกิจ Wealth Management โดยเฉพาะในเอเชีย ซึ่งจำนวนเศรษฐีใหม่และกลุ่มลูกค้ามั่งคั่งกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผ่านบริการ HSBC Premier และ Private Banking ธนาคารสามารถสร้างรายได้จากค่าธรรมเนียมที่สูงและต่อเนื่อง ทำให้ธุรกิจ Wealth กลายเป็นแหล่งกำไรระยะยาวที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่ง

 

  1. ความล้ำสมัยด้านดิจิทัล

HSBC ไม่ได้หยุดอยู่กับระบบธนาคารดั้งเดิม แต่ลงทุนอย่างจริงจังใน Digital Transformation พัฒนาบริการ Mobile Banking ที่ใช้ง่ายและปลอดภัย ใช้ AI วิเคราะห์เครดิตและพฤติกรรมลูกค้า รวมถึงสร้างระบบชำระเงินข้ามประเทศแบบเรียลไทม์ ที่สำคัญยังมี PayMe แอป P2P Payment ที่ประสบความสำเร็จสูงในฮ่องกง สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า HSBC เดินหน้าอย่างจริงจังเพื่อสร้าง ความได้เปรียบเชิงเทคโนโลยี ทั้งลดต้นทุน ขยายฐานลูกค้า และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

 

เปรียบเทียบกับคู่แข่งระดับโลก

เทียบกับ Citigroup Inc. (C):

Citigroup และ HSBC มี จุดเหมือนกัน ตรงที่ทั้งคู่เป็น ธนาคารระดับโลก (Global Banks) ที่มีเครือข่ายครอบคลุมหลายทวีป ให้บริการครบวงจรทั้งลูกค้ารายย่อย องค์กร และบริษัทข้ามชาติ อีกทั้งต่างก็มีความเชี่ยวชาญด้านการเงินระหว่างประเทศ (International Banking) และเครือข่ายสาขาที่กว้าง ทำให้สามารถเป็นพาร์ตเนอร์หลักของบริษัทข้ามชาติ ในการทำธุรกรรมข้ามพรมแดนและเข้าถึงตลาดโลกได้อย่างสะดวก

 

แต่สิ่งที่ทำให้ HSBC โดดเด่นกว่าคือการเลือกโฟกัสใน เอเชีย ซึ่งเป็น Growth Engine ของเศรษฐกิจโลก ปัจจุบันกว่าครึ่งหนึ่งของกำไรทั้งกลุ่มมาจากภูมิภาคนี้ ขณะที่ Citi แม้ footprint จะกว้างกว่า แต่ได้ถอยจากธุรกิจรายย่อยในหลายประเทศ ทำให้พึ่งพารายได้จาก Investment Banking (IB) และตลาดทุน ซึ่งผันผวนสูงและอิงกับวัฏจักรเศรษฐกิจมากกว่า

 

อีกจุดที่ต่างกันชัดคือ โครงสร้างรายได้ Citi แข็งแกร่งในตลาดทุน แต่กำไรเหวี่ยงตามภาวะตลาดโลก ขณะที่ HSBC มีรายได้หลักจาก Trade Finance, Commercial Banking และ Wealth Management ที่สร้าง Recurring income ต่อเนื่องจากลูกค้าที่ต้องใช้บริการจริง ไม่ต้องพึ่งพาดีลใหญ่ ๆ แบบ IB และยังมีการ กระจายความเสี่ยงทั้งด้านธุรกิจและภูมิภาค ทำให้รายได้ของ HSBC มีความมั่นคงและเสถียรกว่าอย่างชัดเจน

 

 เปรียบเทียบกับธุรกิจในประเทศไทย

เทียบกับ Bangkok Bank (BBL)

Bangkok Bank (BBL) ถือเป็นธนาคารไทยที่มีเครือข่ายต่างประเทศแข็งแกร่งที่สุด มีสาขามากกว่า 300 แห่งใน 14 ประเทศ โดยเฉพาะในจีนและอาเซียน จนได้รับการมองว่าเป็น “international bank ของไทย” จุดแข็งสำคัญคือธุรกิจ Trade Finance และ Corporate Banking ที่ช่วยลูกค้าธุรกิจไทยเชื่อมต่อการค้าในภูมิภาค ซึ่งในมุมนี้ถือว่า BBL มีความคล้ายกับ HSBC (0005.HK) เพราะต่างก็มีรากฐานในธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ และเป็นพาร์ตเนอร์สำคัญของบริษัทข้ามชาติ

 

แต่เมื่อเปรียบเทียบเชิงลึก ความแตกต่างก็ชัดเจน HSBC ไม่ได้เป็นเพียงธนาคารที่มีสาขาต่างประเทศ แต่คือ ธนาคารระดับโลกและมีบทบาทสำคัญในธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศทั่วโลก ทำให้ HSBC เชื่อมโยงเศรษฐกิจไม่ใช่แค่ในเอเชีย แต่ยังครอบคลุมทั้งยุโรป ตะวันออกกลาง และอเมริกาเหนือ จึงสามารถรองรับบริษัทข้ามชาติได้อย่างครบวงจร ตั้งแต่ผู้ส่งออกในเอเชียไปจนถึงผู้นำเข้าในตลาดโลกหลักอย่างยุโรปและสหรัฐฯ

 

อีกจุดที่แตกต่างคือ ด้านนวัตกรรมดิจิทัล BBL แม้จะพัฒนาบริการดิจิทัลสำหรับลูกค้าไทย แต่ HSBC ก้าวไปไกลกว่า ผ่านการลงทุนใน Mobile Banking ที่ครบวงจร ระบบโอนเงินข้ามประเทศแบบเรียลไทม์ และ PayMe แอปพลิเคชันโอนเงิน–ชำระเงินที่มีผู้ใช้กว่า 3 ล้านคนในฮ่องกง ซึ่งทำให้ HSBC ไม่เพียงเป็นธนาคาร แต่เป็น digital lifestyle platform ที่ฝังตัวอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้คน

 

ความท้าทายและความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ

แม้ HSBC จะมีจุดแข็งหลายด้าน แต่ก็เผชิญกับความท้าทายสำคัญ โดยเฉพาะจากการแข่งขันจากธนาคารท้องถิ่นและ Fintech ที่กดดันค่าธรรมเนียมและบังคับให้ลงทุนเทคโนโลยีมหาศาล ซึ่งเป็นความท้าทายสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ ขณะเดียวกัน ความเสี่ยงด้านเครดิต โดยเฉพาะจากตลาดเกิดใหม่และอสังหาฯ จีน ก็ยังเป็นจุดที่อาจกระทบต่อคุณภาพสินทรัพย์

โดยสรุป แม้ HSBC จะโดดเด่นในฐานะธนาคารสากลที่เติบโตในเอเชีย แต่นักลงทุนต้องจับตาความเสี่ยงด้าน การแข่งขัน และเครดิตอย่างใกล้ชิดเมื่อประเมินการลงทุนระยะยาว

 

อนาคตและโอกาสของ HSBC

HSBC มีตำแหน่งที่ได้เปรียบในการเติบโตระยะยาว โดยเฉพาะจากเอเชียซึ่งเป็นภูมิภาคที่เศรษฐกิจและความมั่งคั่งขยายตัวเร็วที่สุดในโลก การเพิ่มขึ้นของจำนวนเศรษฐีและชนชั้นกลางเปิดโอกาสให้ธุรกิจ Wealth Management และ Private Banking เติบโตต่อเนื่อง

 

อีกโอกาสสำคัญคือ Green Finance ก็กำลังกลายเป็นกระแสหลักในภูมิภาคเอเชีย ความต้องการเงินทุนสำหรับโครงการพลังงานสะอาด การปรับเปลี่ยนไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ และการลงทุนที่ยั่งยืน ทำให้ HSBC สามารถนำเสนอโซลูชันทางการเงินใหม่ ๆ ทั้งในรูปแบบสินเชื่อและตราสารหนี้สีเขียว เพื่อตอบสนองความต้องการของภาครัฐและเอกชน นอกจากนี้ การขยายบทบาทของเงินหยวนในเวทีโลก (RMB Internationalization) ก็ยิ่งเพิ่มศักยภาพให้ HSBC ซึ่งมีฐานแข็งแกร่งในจีน

โดยรวมแล้ว HSBC ไม่เพียงรักษาความแข็งแกร่ง แต่ยังมีการเติบโตใหม่ ทั้งจาก Wealth, Green Finance, Digital และ RMB ที่ช่วยเสริมโอกาสการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

 

สนใจลงทุนในหุ้น HSBC Holdings (Ticker: 0005.HK)  และหุ้นอุตสาหกรรมการเงิน และอื่นๆ เปิดประสบการณ์ลงทุนไร้ขีดจำกัดกับแอป InnovestX! เข้าถึง 23 ประเทศ 31 ตลาดทั่วโลกได้ง่าย ๆ แค่ปลายนิ้ว เปิดบัญชีลงทุน คลิกเลย! 👉https://innovestx.onelink.me/23if/2jlpsi7b

 

คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษา ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน

 

 

Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5