วอลต์ ดิสนีย์ กำลังสร้างปรากฏการณ์ใหม่ในโลกความบันเทิง ด้วยการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของธุรกิจสตรีมมิงที่ กลับมาทำกำไรได้อย่างมีนัยสำคัญ ล่าสุดบริษัทประกาศความร่วมมือกับ Miral (ผู้พัฒนาและผู้บริหารโครงการด้านการท่องเที่ยวและความบันเทิงรายใหญ่ในอาบูดาบี) สร้างสวนสนุกดิสนีย์แห่งที่ 7 ของโลกที่อาบูดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ พร้อมกับการเปิดตัวภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์อย่าง Thunderbolts (เรื่องราวทีมฮีโร่และวายร้ายที่รวมตัวทำภารกิจ) จาก Marvel Studios ที่ขึ้นอันดับหนึ่งบ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลก สะท้อนภาพดิสนีย์ในฐานะผู้นำความบันเทิงที่เดินหน้าขยายอาณาจักรอย่างต่อเนื่อง
วอลต์ ดิสนีย์ คือบริษัทความบันเทิงที่มีประวัติยาวนานกว่า 100 ปี โดยเริ่มจากสตูดิโอแอนิเมชันเล็กๆ ที่สร้างตัวละครระดับตำนานอย่าง Mickey จนกลายเป็นบริษัทมหาชนที่ครอบคลุมธุรกิจความบันเทิงแบบครบวงจร
หนึ่งในจุดแข็งของดิสนีย์คือการใช้ทรัพย์สินทางปัญญา (IP) อย่างชาญฉลาด ทั้ง Marvel, Star Wars และ Pixar ซึ่งไม่เพียงสร้างรายได้จากภาพยนตร์และซีรีส์ แต่ยังต่อยอดไปถึงสินค้า ธีมพาร์ก และประสบการณ์แบบอินเตอร์แอคทีฟที่แฟนๆ มีส่วนร่วมได้ อีกทั้งบริษัทยังเร่งทรานส์ฟอร์มองค์กร โดยใช้ข้อมูลผู้ชมจากแพลตฟอร์มดิจิทัลมาพัฒนาเนื้อหาและกลยุทธ์ทางการตลาดอย่างแม่นยำ
กลยุทธ์การเติบโตของดิสนีย์มุ่งเน้น 4 เรื่องหลัก: การสร้างคอนเทนต์คุณภาพสูงจากสตูดิโอภาพยนตร์, การพัฒนาธุรกิจสตรีมมิงให้มีกำไรอย่างยั่งยืน, การพัฒนา ESPN เป็นแพลตฟอร์มกีฬาดิจิทัลชั้นนำ และการเร่งการเติบโตระยะยาวในส่วนธุรกิจประสบการณ์
Netflix มีรายได้หลักจากการสมัครสมาชิกแบบจ่ายรายเดือน เพื่อให้บริการสตรีมมิงหนัง ซีรีส์ และคอนเทนต์ออริจินัลที่ผลิตเอง ซึ่งเป็นหัวใจหลักของธุรกิจ รายได้ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับจำนวนสมาชิกและความสามารถในการรักษาฐานผู้ใช้งาน Netflix ลงทุนหนักในเนื้อหาคุณภาพสูงเพื่อดึงดูดและรักษาผู้ชมทั่วโลก แม้ Netflix จะมีผู้ใช้งานสูงถึงประมาณ 301 ล้านราย ขณะที่ Disney+ มีผู้ใช้งานประมาณ 126 ล้านราย แต่ Disney มีรายได้หลากหลายจากบริการสตรีมมิง สวนสนุก สินค้าลิขสิทธิ์ และธุรกิจกีฬา ทำให้โมเดลรายได้ของ Disney มีความหลากหลายและเสริมกันมากกว่า Netflix ที่ยังพึ่งพารายได้จากสมาชิกเป็นหลัก
เมื่อเทียบกับบริษัทในประเทศไทย แม้จะไม่มีบริษัทที่มีโมเดลธุรกิจแบบดิสนีย์โดยตรง แต่สามารถเปรียบเทียบในภาพรวมได้กับ บีอีซี เวิลด์ (BEC) ซึ่งเป็นเจ้าของช่อง 3 และมีจุดแข็งด้านการผลิตละครโทรทัศน์ สร้างรายได้จากการขายโฆษณาและลิขสิทธิ์คอนเทนต์ รวมถึงพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล CH3Plus เพื่อรับมือกับพฤติกรรมผู้ชมที่เปลี่ยนไป ส่วน GMM Grammy มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลายกว่า ครอบคลุมทั้งค่ายเพลง การจัดคอนเสิร์ต ธุรกิจซีรีส์ผ่าน GMMTV และสื่อดิจิทัลที่ร่วมมือกับแพลตฟอร์มสตรีมมิงต่างประเทศ แม้ทั้งสองบริษัทจะเน้นตลาดในประเทศเป็นหลัก แต่ก็มีจุดร่วมกับ Disney ตรงการสร้างคอนเทนต์เป็นแกนกลางของธุรกิจ แม้ว่า Disney จะมีขนาดธุรกิจใหญ่และครอบคลุมทั่วโลกก็ตาม
ดิสนีย์ประกาศความร่วมมือกับ Formula 1 เตรียมนำ Mickey & Friends สู่โลกความเร็วในปี 2026 ผ่านประสบการณ์ เนื้อหา และสินค้าทั่วโลก เพื่อตอบรับฐานแฟนรุ่นใหม่ที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยปัจจุบัน 54% ของผู้ติดตาม F1 บน TikTok มีอายุต่ำกว่า 25 ปี
ความร่วมมือนี้ช่วยขยายแบรนด์ดิสนีย์สู่แฟน F1 ทั่วโลกกว่า 820 ล้านคน ขณะเดียวกันก็เพิ่มความหลากหลายและไลฟ์สไตล์ให้กับโลกของ F1 ผ่านตัวละครคลาสสิกระดับโลกอย่างมิกกี้เมาส์และผองเพื่อน
แม้ดิสนีย์จะเริ่มฟื้นกลับมาได้จากแรงกดดันในอดีต โดยเฉพาะในธุรกิจสตรีมมิงและสวนสนุก แต่บริษัทก็ยังเผชิญกับแรงต้านหลายด้าน การลดลงของธุรกิจทีวีแบบดั้งเดิม (Linear Networks) ยังคงเป็นจุดอ่อนสำคัญที่ถ่วงการเติบโตโดยรวม ขณะเดียวกัน แม้บริการ Disney+ จะเริ่มทำกำไรได้แล้ว แต่ก็ยังต้องเผชิญการแข่งขันจากยักษ์ใหญ่อย่าง Netflix และ Amazon Prime ที่มีฐานสมาชิกทั่วโลกมากกว่า นอกจากนี้ ผลกระทบจากภัยธรรมชาติ เช่น พายุเฮอริเคนที่กระทบสวนสนุกในสหรัฐฯ รวมถึงต้นทุนพลังงานและค่าแรงที่ปรับตัวสูงขึ้น ยังคงกดดันกำไรในฝั่ง Experiences อย่างต่อเนื่อง อีกประเด็นที่ต้องจับตามองคือความไม่แน่นอนของตลาดจีน ซึ่งส่งผลต่อรายได้จาก Shanghai Disneyland และโครงการในเอเชีย ขณะที่ต้นทุน CapEx ของดิสนีย์ยังอยู่ในช่วงขาขึ้นตามแผนขยายการลงทุนในเรือสำราญและสวนสนุกใหม่ทั่วโลก
ดิสนีย์กำลังเข้าสู่ยุคใหม่ของการเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม คอนเทนต์ และประสบการณ์แบบไร้พรมแดน โดยเฉพาะการประกาศสร้างสวนสนุกแห่งใหม่บนเกาะยาส (Yas Island) ที่อาบูดาบี นับเป็นการเปิด Theme Park แห่งที่ 7 ของโลก ซึ่งเชื่อมโยงตลาดตะวันออกกลาง แอฟริกา และเอเชียไว้ด้วยกัน การขยายตัวครั้งนี้นอกจากจะสร้างกระแสรายได้ใหม่ ยังสะท้อนจุดยืนของดิสนีย์ในฐานะแบรนด์ระดับโลกที่ไม่หยุดนิ่ง
ฝั่งสตรีมมิง Disney+ และ Hulu ยังคงเดินหน้าด้วยกลยุทธ์ “ad-supported expansion” เพื่อเพิ่ม ARPU และฐานสมาชิก โดยเฉพาะในตลาดนอกสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน ESPN กำลังถูกปั้นให้กลายเป็นแพลตฟอร์มกีฬาแบบสตรีมเต็มรูปแบบในอนาคต พร้อมทั้งขยายธุรกิจเรือสำราญและที่พัก Disney Vacation Club ด้วยแนวคิดใหม่ที่ตอบโจทย์ครอบครัวสมัยใหม่ หากดิสนีย์สามารถรักษาคุณภาพเนื้อหาและประสบการณ์ได้ตามแผน ก็มีโอกาสกลับมาเติบโตแบบมั่นคงในฐานะยักษ์ใหญ่ความบันเทิงที่ครบวงจรที่สุดในโลก
สนใจลงทุนในหุ้น Walt Disney (DIS) และหุ้นเทคโนโลยีอื่น ๆ จากทั่วโลกได้ง่าย ๆ ผ่านแอปพลิเคชัน InnovestX ที่ให้คุณเข้าถึงการลงทุนระดับโลกได้แบบไร้ขีดจำกัด สนใจเปิดบัญชีลงทุน
https://innovestx.onelink.me/23if/2jlpsi7b
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษา ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน