ในขณะที่ Bitcoin กำลังสร้างกระแสใหม่ด้วยราคาที่ทะลุ $115,000 มีอีกหนึ่งสินทรัพย์ดิจิทัลที่กำลังเขย่าโลกการเงินด้วยเทคโนโลยีปฏิวัติและศักยภาพที่ไม่มีขีดจำกัด นั่นคือ อีเธอเรียม (Ethereum) แพลตฟอร์มบล็อกเชนที่ไม่เพียงแค่เป็นสกุลเงินดิจิทัล แต่เป็น "คอมพิวเตอร์โลก" ที่เปลี่ยนวิธีที่เราคิดเกี่ยวกับการเงิน เทคโนโลยี และอนาคตของอินเทอร์เน็ต
อีเธอเรียมถือกำเนิดขึ้นโดย Vitalik Buterin ในปี 2013 ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแข่งขันกับ Bitcoin แต่เพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดของสกุลเงินดิจิทัลธรรมดา ด้วยการนำเสนอแนวคิดของ สัญญาอัจฉริยะ (Smart Contracts) และ แอปพลิเคชันไร้ศูนย์กลาง (dApps) ที่ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเขียนโปรแกรมเพื่อสร้างธุรกรรมและระบบต่างๆ ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาตัวกลาง ทำให้อีเธอเรียมกลายเป็นรากฐานของ Web3 และระบบการเงินแห่งอนาคต ขณะที่ Bitcoin ทำหน้าที่คล้ายทองคำดิจิทัล อีเธอเรียมกลับเป็นเสมือนคอมพิวเตอร์ยักษ์ที่พร้อมให้บริการทั่วโลก ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุด และไม่มีใครสามารถปิดได้
หนึ่งในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของอีเธอเรียมคือ The Merge ซึ่งเกิดขึ้นในเดือนกันยายน 2022 โดยเป็นการเปลี่ยนระบบจาก Proof-of-Work ที่ใช้พลังงานสูงไปเป็น Proof-of-Stake ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น การอัปเกรดนี้ทำให้อีเธอเรียมลดการใช้พลังงานได้มากกว่า 99% และเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจของ ETH จากระบบที่มีการออกเหรียญใหม่อย่างต่อเนื่อง มาเป็นระบบที่อาจเกิดภาวะเงินฝืด (deflationary) ผ่านกลไกการ “เผา” เหรียญ ETH ทุกครั้งที่เกิดธุรกรรม
ในโลกของการเงินแบบไร้ศูนย์กลาง (DeFi) อีเธอเรียมคือผู้นำที่ครองส่วนแบ่งกว่า 55% ของมูลค่ารวมที่ถูกล็อก (TVL) ในระบบ DeFi ทั่วโลก ซึ่งรวมกันมีมูลค่ามากกว่า 83 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โปรโตคอลระดับแนวหน้าอย่าง Lido, Aave, และ EigenLayer ต่างเลือกใช้อีเธอเรียมเป็นแพลตฟอร์มหลัก ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย ความน่าเชื่อถือ และความลึกของสภาพคล่องที่แพลตฟอร์มอื่นยังยากจะเทียบได้
นอกจากนี้ อีเธอเรียมยังเป็นบ้านของ Non-Fungible Token (NFT) ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก ไม่ว่าจะเป็น CryptoPunks, Bored Ape Yacht Club หรือ Art Blocks แพลตฟอร์มนี้มอบเครื่องมือให้ศิลปินและผู้สร้างคอนเทนต์สามารถสร้างรายได้จากผลงานของตน รวมถึงรับส่วนแบ่งจากการขายต่อ (royalty) ได้โดยอัตโนมัติ ถือเป็นการปฏิวัติวงการศิลปะและอุตสาหกรรมครีเอเตอร์ทั่วโลก
นักลงทุนสถาบันเริ่มให้ความสนใจใน ETH อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อกองทุน ETF ของ Ethereum ได้รับการอนุมัติในสหรัฐอเมริกา และสามารถดึงดูดเม็ดเงินไหลเข้าสุทธิได้มากถึง 700 ล้านดอลลาร์ภายในเวลาเพียงสามสัปดาห์ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของอีเธอเรียมในระยะยาว ไม่เพียงในฐานะของสินทรัพย์ แต่ในฐานะแพลตฟอร์มเทคโนโลยีหลักของโลกการเงินดิจิทัล
อีเธอเรียมยังเปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถนำ ETH ของตนไป Stake เพื่อช่วยรักษาความปลอดภัยของเครือข่าย และรับรางวัลในรูปแบบของ ETH เพิ่มเติม ปัจจุบันมีเหรียญ ETH ถูก Stake แล้วมากกว่า 47.4 ล้านเหรียญ คิดเป็นกว่า 1 ใน 3 ของจำนวน ETH ทั้งหมด การ Stake ไม่เพียงสร้างรายได้แบบพาสซีฟ แต่ยังแสดงถึงความเชื่อมั่นในเครือข่ายอีกด้วย
เพื่อแก้ปัญหาความเร็วในการประมวลผลและค่าธรรมเนียมที่สูง อีเธอเรียมได้พัฒนา Layer 2 solutions เช่น Arbitrum และ Optimism ที่ช่วยให้ธุรกรรมเร็วขึ้นและถูกลง โดยยังคงความปลอดภัยของเครือข่ายหลักไว้ ล่าสุดยังมีการเปิดตัว EIP-4844 หรือ Proto-Danksharding ซึ่งช่วยลดต้นทุนธุรกรรมผ่านการใช้ blobs หรือพื้นที่จัดเก็บข้อมูลชั่วคราวที่มีประสิทธิภาพสูง
Ethereum มีแผนงานระยะยาวที่ชัดเจน ได้แก่ “The Surge” ที่ตั้งเป้าเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลให้ถึง 100,000 ธุรกรรมต่อวินาที, “The Scourge” เพื่อแก้ปัญหาการรวมศูนย์และความเสี่ยงจาก MEV, “The Verge” ที่มุ่งลดความซับซ้อนในการรันโหนด, “The Purge” เพื่อลดข้อมูลที่ไม่จำเป็นในเครือข่าย, และ “The Splurge” ซึ่งเป็นชุดการปรับปรุงเพื่อความสมบูรณ์แบบของระบบ ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นถึงความต่อเนื่องในการพัฒนาและปรับปรุงเพื่อรองรับการใช้งานระดับโลกในอนาคต
ในสหรัฐอเมริกา รัฐบาลได้ผลักดันกฎหมาย GENIUS Act ซึ่งช่วยสร้างกรอบการกำกับดูแล stablecoins ที่ชัดเจน ซึ่งเป็นประโยชน์โดยตรงต่อเครือข่ายอีเธอเรียม ยุโรปได้บังคับใช้กฎหมาย MiCA ที่จัดตั้งกรอบกฎเกณฑ์ระดับสหภาพยุโรปสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัล ส่วนประเทศไทย สำนักงาน ก.ล.ต. กำลังดำเนินการเปิด Sandbox สำหรับให้นักท่องเที่ยวใช้สินทรัพย์ดิจิทัลในการจับจ่าย และส่งเสริม Investment Token สำหรับการระดมทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์และการท่องเที่ยว
แม้อีเธอเรียมจะมีศักยภาพสูง แต่นักลงทุนควรตระหนักถึงความเสี่ยงที่มาพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็น ความผันผวนของราคา ที่แม้ลดลงแต่ยังสูงกว่าสินทรัพย์ทั่วไป, ความซับซ้อนด้านเทคโนโลยี ที่อาจทำให้ผู้ใช้งานใหม่สับสน, ความเสี่ยงจากช่องโหว่ใน Smart Contract ที่อาจนำไปสู่การสูญเสียเงินลงทุน, รวมถึง การแข่งขันจากบล็อกเชนอื่นๆ ที่เน้นความเร็วและค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่า
สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนใน ETH หรือสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ ควรเริ่มจากการ ศึกษาเทคโนโลยีและความเสี่ยง ให้ลึกซึ้ง, เลือกแพลตฟอร์มที่ได้รับการกำกับดูแลอย่างชัดเจน เช่น InnovestX บริษัทหลักทรัพย์ในกลุ่ม SCBX เป็นต้น, กระจายการลงทุน ในหลายสินทรัพย์เพื่อลดความเสี่ยง, และ ลงทุนในระดับที่สามารถรับความผันผวนหรือการขาดทุนได้
เหรียญ ETH ไม่ได้เป็นเพียง “เชื้อเพลิง” สำหรับการทำธุรกรรมบนเครือข่ายอีเธอเรียมเท่านั้น แต่ยังเป็นสินทรัพย์ที่มีคุณสมบัติพิเศษและศักยภาพในการเติบโตที่โดดเด่นในหลายมิติ ทั้งในแง่ของการใช้จริงในระบบเศรษฐกิจ Web3 และในฐานะเครื่องมือทางการเงินที่สร้างผลตอบแทนได้ในระยะยาว
1) ETH เป็นหนึ่งในสินทรัพย์ดิจิทัลที่มี “Demand ใช้งานจริง” อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการใช้เพื่อจ่ายค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม (gas fee) ในการใช้งาน dApps, การสร้าง NFT, หรือการดำเนินการบนโปรโตคอล DeFi ต่างๆ ความต้องการใช้งานเหล่านี้ทำให้ ETH ไม่ใช่เพียงเหรียญเพื่อเก็งกำไร แต่เป็นทรัพย์สินที่มี utility จริงในระบบเศรษฐกิจดิจิทัล
2) ETH มีลักษณะคล้าย “สินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐาน” ที่อยู่เบื้องหลังเศรษฐกิจ Web3 ทั้งระบบ โดยเปรียบเทียบได้กับการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีที่ถือครองระบบปฏิบัติการอินเทอร์เน็ตยุคใหม่ นักลงทุนที่ถือ ETH จึงมีโอกาสเติบโตไปพร้อมกับการขยายตัวของทั้งโลก DeFi, NFT, GameFi และ Metaverse ที่อิงอยู่บนอีเธอเรียม
3) อีกหนึ่งจุดเด่นที่นักลงทุนจำนวนมากให้ความสนใจ คือ กลไกการลดอุปทานของ ETH ผ่านการ “เผาเหรียญ” ในทุกการทำธุรกรรม ซึ่งสร้างแรงผลักดันให้เกิดภาวะเงินฝืด (deflationary pressure) เมื่อเทียบกับสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นที่ยังคงมีการขุดหรือสร้างเหรียญเพิ่มตามกลไกเดิม นอกจากนี้ ระบบ Staking ยังเปิดโอกาสให้ผู้ถือ ETH สามารถสร้างรายได้แบบพาสซีฟ โดยไม่ต้องขายเหรียญทิ้ง ถือเป็นการผสานระหว่างการลงทุนเพื่อ “เติบโตของมูลค่า” และ “สร้างกระแสเงินสด” ในเวลาเดียวกัน
4) การที่ ETH เริ่มมี ETF และผลิตภัณฑ์การเงินที่เกี่ยวข้องในตลาดทุนสหรัฐฯ และยุโรป ทำให้ ETH กำลังเปลี่ยนสถานะจากสินทรัพย์ทางเลือก (Alternative Asset) ไปสู่การเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตการลงทุนแบบสถาบัน ซึ่งหมายความว่าความต้องการในระดับโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
กล่าวโดยสรุป การลงทุนในเหรียญอีเธอเรียมจึงน่าสนใจไม่เพียงเพราะราคาที่มีโอกาสเติบโตในอนาคต แต่เพราะ ETH เป็นทรัพย์สินที่มีบทบาทสำคัญในโครงสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลกอย่างลึกซึ้งและยั่งยืน
หมายเหตุ: บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ด้านการศึกษาและให้ข้อมูลเท่านั้น ไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน
คำเตือน: คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
เปิดบัญชีและลงทุนผ่าน InnovestX ได้ที่: https://innovestx.onelink.me/23if/2jlpsi7b