Keyword
DR

SMIC (0981.HK) เสาหลักเทคโนโลยีชิปจีน กับโอกาสเติบโตสู่ผู้เล่นระดับโลก

15 Aug 25 3:22 PM
SMIC
สรุปสาระสำคัญ

                  Semiconductor Manufacturing International Corporation (SMIC) (0981.HK) บริษัทผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์จากประเทศจีน ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงและตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ กำลังเป็นหนึ่งในบริษัทที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลกมากที่สุด ในฐานะผู้นำธุรกิจการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในจีนแผ่นดินใหญ่ บริษัทไม่ได้เป็นเพียงโรงงานผลิตชิปธรรมดา แต่เป็นสัญลักษณ์ของความทะเยอทะยานของจีนที่จะลดการพึ่งพาผู้ผลิตต่างชาติและสร้างระบบนิเวศการผลิตชิปครบวงจรภายในประเทศด้วยความสามารถในการผลิตเวเฟอร์ขนาด 8 นิ้ว และ 12 นิ้ว ให้กับลูกค้าทั่วโลก โดยเวเฟอร์คือแผ่นบางของวัสดุเซมิคอนดักเตอร์ ที่ใช้เป็นฐานในการสร้างวงจรรวมหรือชิปแต่ละตัว ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ยุคใหม่ให้กับลูกค้าทั่วโลก การมีฐานการผลิตที่ครอบคลุมทั้งเซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง เทียนจิน และเซินเจิ้น ทำให้ SMIC สามารถตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วงที่โลกกำลังเผชิญกับการขาดแคลนชิปและสงครามการค้าเทคโนโลยี เมื่อมองไปข้างหน้า การผสมผสานระหว่างตลาดในประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก แนวโน้มความต้องการเซมิคอนดักเตอร์ที่พุ่งสูง และการสนับสนุนเชิงนโยบายจากรัฐบาลจีน ทำให้ SMIC ไม่เพียงมีศักยภาพเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แต่มีโอกาสกลายเป็นหนึ่งใน “ผู้เล่นระดับโลก” ที่สามารถช่วยให้จีนลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างชาติได้อย่างแท้จริง

ประวัติและวิวัฒนาการของ SMIC

SMIC หรือ Semiconductor Manufacturing International Corporation ก่อตั้งขึ้นในปี 2000 โดย Richard Chang อดีตผู้บริหารจาก TSMC ด้วยเป้าหมายที่จะสร้างผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ชั้นนำของจีน บริษัทเริ่มดำเนินการในปี 2001 ด้วยโรงงานแห่งแรกที่นครเซี่ยงไฮ้ ผลิตเวเฟอร์ขนาด 5 นาโนเมตร ด้วยเทคโนโลยี 0.35 ไมครอน ก่อนจะขยายกำลังผลิตอย่างต่อเนื่อง ในปี 2003 เปิดโรงงานที่สองและยกระดับเทคโนโลยีสู่ 0.25 ไมครอน และเพียงสองปีต่อมาในปี 2005 ก็สามารถพัฒนาไปถึง 0.18 ไมครอน พร้อมกับการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงและนิวยอร์ก

 

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2011 เมื่อรัฐบาลจีนประกาศ นโยบายอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติ เพื่อผลักดันการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี ทำให้ SMIC ได้รับแรงสนับสนุนเชิงนโยบายอย่างชัดเจน และในปี 2016 บริษัทได้รับเงินลงทุนจำนวนมากจาก China Integrated Circuit Industry Investment Fund (China IC Fund) ซึ่งเป็นกองทุนยุทธศาสตร์ของรัฐบาลจีน

 

ระหว่างปี 2017-2019 บริษัทเร่งพัฒนาเทคโนโลยีจนสามารถผลิตชิป 28 นาโนเมตร ในปี 2018 และ 14 นาโนเมตร อย่างไรก็ตาม ช่วงปี 2020-2025 กลายเป็นยุคแห่งความท้าทาย เมื่อสหรัฐฯ ใส่ SMIC ในรายชื่อ Entity List ซึ่งเป็นบัญชีดำของบริษัทต่างชาติที่ถูกจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีและอุปกรณ์จากสหรัฐฯ โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคง แต่แม้จะเผชิญข้อจำกัด บริษัทก็ยังเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีจนสามารถผลิตชิป 7 นาโนเมตร ได้ในปี 202และขยายโรงงานใหม่ที่เซินเจิ้นในช่วงปี 2023-2024 เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและรองรับดีมานด์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

ภาพรวมแล้ว เส้นทางของ SMIC สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตจากผู้เล่นท้องถิ่นสู่ผู้ผลิตระดับโลกที่มีบทบาทสำคัญในยุทธศาสตร์เทคโนโลยีของจีน แม้จะต้องเผชิญแรงกดดันด้านภูมิรัฐศาสตร์และข้อจำกัดทางเทคโนโลยี แต่ก็ยังคงสามารถขยายศักยภาพและยืนหยัดในตลาดได้อย่างแข็งแกร่ง

 

โครงสร้างรายได้และธุรกิจหลัก

 

SMIC มีโครงสร้างรายได้ โดยแบ่งออกเป็น 5 ธุรกิจหลัก

 

  1. Consumer Electronics – 41% ของรายได้รวม

กลุ่มธุรกิจนี้ครอบคลุมการผลิตชิปสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น โทรทัศน์, เครื่องเล่นเกม, อุปกรณ์ความบันเทิง และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะต่างๆ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภคมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องจากการพัฒนาของ Smart Home และ IoT (Internet of Things) ที่เพิ่มขึ้น

 

  1. Smartphone – 24% ของรายได้รวม

SMIC ผลิตชิปหลากหลายประเภทสำหรับโทรศัพท์มือถือ รวมถึงชิปโมเด็ม, เซ็นเซอร์ภาพ, ชิปบริหารจัดการพลังงาน (PMIC) และวงจรรวม (IC) อื่นๆ ที่จำเป็นต่อการทำงานของสมาร์ทโฟน แม้ตลาดสมาร์ทโฟนทั่วโลกจะมีการเติบโตที่ชะลอตัวลง แต่ความต้องการชิปที่มีความซับซ้อนและประสิทธิภาพสูงขึ้น รวมถึงการเปลี่ยนผ่านไปสู่เทคโนโลยี 5G ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ผลักดันให้ความต้องการชิปสำหรับสมาร์ทโฟนยังคงมีอยู่

 

  1. Computer and Tablet – 17% ของรายได้รวม

ในกลุ่มนี้รวมถึงส่วนประกอบสำหรับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (PC), แล็ปท็อป, แท็บเล็ต และอุปกรณ์ประมวลผลอื่นๆ กลุ่มนี้มีแนวโน้มเติบโตจากการพัฒนาของ AI Computing ที่ต้องการชิปประสิทธิภาพสูงสำหรับการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่และการเรียนรู้ของเครื่องจักร

 

  1. Industrial and Automotive – 10% ของรายได้รวม

กลุ่มนี้ผลิตชิปสำหรับภาคอุตสาหกรรมและยานยนต์ ซึ่งต้องการความทนทานสูงและอายุการใช้งานยาวนาน เช่น ชิปควบคุมสำหรับเครื่องจักรอุตสาหกรรม, ระบบจัดการพลังงานในยานยนต์ไฟฟ้า, และเซ็นเซอร์สำหรับระบบขับขี่อัตโนมัติ กลุ่มนี้เป็นหนึ่งในกลุ่มที่เติบโตเร็วที่สุด โดยได้รับแรงหนุนจากการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า (EV) และระบบขับขี่อัตโนมัติ รวมถึง Industrial IoT ที่ต้องการชิปเฉพาะทางเพื่อเชื่อมต่อและควบคุมอุปกรณ์ในโรงงานอัจฉริยะ

 

  1. Connectivity and IoT – 8% ของรายได้รวม

ชิปในกลุ่มนี้ใช้สำหรับการเชื่อมต่อข้อมูลและอุปกรณ์ IoT ในวงกว้าง ครอบคลุมชิป Wi-Fi, Bluetooth, และชิปสำหรับเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ กลุ่มนี้มีแนวโน้มการเติบโตสูงจากการขยายตัวของเทคโนโลยี 5G, Wi-Fi 6 (เครือข่ายไร้สายรุ่นใหม่) และมาตรฐานการเชื่อมต่อใหม่ ๆ รวมถึงระบบ IoT ที่กำลังแพร่หลายในทุกอุตสาหกรรม ตั้งแต่เมืองอัจฉริยะไปจนถึงการเกษตรอัจฉริยะ

 

Picture3.png

 

 กลยุทธ์การเติบโตและจุดแข็งที่โดดเด่น

SMIC วางกลยุทธ์การเติบโตโดยมุ่งขยายกำลังการผลิตและยกระดับเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมศักยภาพการแข่งขันในตลาดเซมิคอนดักเตอร์ที่มีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว บริษัทลงทุนก้อนใหญ่ในการสร้างโรงงานใหม่และอัปเกรดไลน์การผลิต โดยมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น กระบวนการผลิต 7 นาโนเมตร แม้จะถูกจำกัดการเข้าถึงเครื่อง EUV จากตะวันตก แต่ SMIC ก็สามารถพัฒนาเทคโนโลยี 7 นาโนเมตร ด้วยเครื่อง DUV (Deep Ultraviolet)และนำไปผลิตสินค้าระดับเรือธงของจีนได้สำเร็จ ซึ่งตอกย้ำความสามารถด้านวิศวกรรมและการวิจัยที่แข็งแกร่ง

ฐานะการเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดในจีนและติดอันดับสามของโลกทำให้ SMIC มีความได้เปรียบด้านขนาดและการเข้าถึงตลาด โดยมีฐานการผลิตกระจายอยู่ในหลายเมือง เช่น

เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง และเทียนจิน ช่วยลดความเสี่ยงด้านซัพพลายเชนและเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งมอบสินค้าให้ลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ฐานลูกค้าที่หลากหลายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้บริษัทสามารถกระจายความเสี่ยงและปรับตัวได้ดีต่อความผันผวนของตลาด

ปัจจัยสำคัญที่เสริมความแข็งแกร่งของ SMIC คือการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน ทั้งในด้านเงินทุนผ่านกองทุนอุตสาหกรรมชิปของรัฐ (Big Fund) และนโยบายส่งเสริมการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี ทำให้บริษัทมีความมั่นคงทางการเงินและสามารถลงทุนในวิจัยและพัฒนาได้อย่างต่อเนื่อง ความร่วมมือกับพันธมิตรในอุตสาหกรรมยังช่วยเพิ่มโอกาสในการพัฒนาเทคโนโลยีและเปิดตลาดใหม่ ซึ่งเมื่อรวมกับกลยุทธ์การลงทุนเชิงรุกและความเชี่ยวชาญในกระบวนการผลิตขั้นสูง ยิ่งทำให้ SMIC มีศักยภาพในการเติบโตอย่างมั่นคงในฐานะผู้นำตลาดเซมิคอนดักเตอร์ของจีนและผู้เล่นสำคัญในเวทีโลก

 

เปรียบเทียบกับคู่แข่งระดับโลก

เทียบกับ Taiwan Semiconductor Manufacturing Company (TSM) ในไต้หวัน: TSMC เป็นบริษัทผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ชั้นนำของโลกจากไต้หวัน เป็นผู้ผลิต foundry ซึ่งคือบริษัทหรือโรงงานที่รับจ้างผลิตชิปตามแบบที่ผู้อื่นออกแบบรายใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยส่วนแบ่งตลาดกว่า 50% มีเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยที่สุด สามารถผลิตชิปขนาด 3 นาโนเมตรในปริมาณมาก และเป็นผู้ผลิตชิปให้กับบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ทั่วโลก เช่น Apple (A-series และ M-series chips), NVIDIA (GPU), AMD (CPU และ GPU), Qualcomm (Snapdragon) และ Broadcom

 

SMIC และ TSMC ต่างเป็นผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์แบบ pure-play foundry หรือ บริษัทที่รับจ้างผลิตชิปตามแบบของลูกค้าโดยไม่ออกแบบเอง อย่างไรก็ตาม ทั้งสองมีความแตกต่างด้านเทคโนโลยีและตลาดเป้าหมายอย่างชัดเจน TSMC เป็นผู้นำระดับโลกในด้าน เทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง โดยสามารถผลิตชิประดับ 3 นาโนเมตร และ 5 นาโนเมตร ได้ในเชิงพาณิชย์ รองรับชิปประเภท High-end processor (ชิปประมวลผลสมรรถนะสูง) และ AI chips ที่ต้องการความเร็วและประสิทธิภาพสูง ในทางกลับกัน SMIC เน้นการผลิตที่ เทคโนโลยี mature nodes เช่น 28 นาโนเมตร, 40 นาโนเมตร และ 65 นาโนเมตร ซึ่งแม้จะไม่ล้ำสมัยที่สุด แต่มีต้นทุนต่ำ เสถียร และยังเป็นที่ต้องการในอุตสาหกรรมอย่าง IoT ยานยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า นอกจากนี้ SMIC ยังพัฒนา specialty technologies หรือเทคโนโลยีเฉพาะทาง เช่น ชิปพลังงาน (Power IC), RF และหน่วยความจำฝังตัว ที่ตอบโจทย์การใช้งานเฉพาะในตลาดจีน

 

เปรียบเทียบกับธุรกิจในประเทศไทย

เทียบกับ บริษัท Hana Microelectronics

แม้ SMIC (Semiconductor Manufacturing International Corporation) และ HANA Microelectronics จะอยู่ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เหมือนกัน แต่โมเดลธุรกิจต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ SMIC เป็น Pure-Play Foundry รายใหญ่ที่สุดของจีน ซึ่งหมายถึงการเป็นโรงงานผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์ “ต้นน้ำ” ที่ทำหน้าที่รับจ้างผลิตชิปตามแบบของลูกค้า โดยไม่ออกแบบหรือขายชิปภายใต้แบรนด์ตัวเอง ขณะที่ในประเทศไทย ยังไม่มีบริษัทที่ทำธุรกิจ Pure-Play Foundry แบบนี้เลย

HANA จึงเปรียบได้ว่าอยู่ “กลางน้ำ” ของห่วงโซ่อุปทาน ผลิตและประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เช่น IC Packaging, Module Assembly และ PCB Assembly เพื่อนำไปประกอบเข้ากับระบบของลูกค้า โดยใช้ชิปที่ผลิตจากบริษัทอื่น เช่น SMIC หรือโรงงาน foundry ระดับโลก

ข้อแตกต่างสำคัญคือ SMIC อยู่ในจุดที่ควบคุมเทคโนโลยีหลักของอุตสาหกรรมได้ตั้งแต่ต้นน้ำ มีบทบาทสำคัญในตลาดเซมิคอนดักเตอร์โลก และมีโอกาสสร้างมูลค่าเพิ่มสูงกว่า ขณะที่ HANA มีจุดแข็งด้านคุณภาพการผลิตและการประกอบที่ได้มาตรฐานยานยนต์และอุตสาหกรรมสากล แต่ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่กำหนดทิศทางเทคโนโลยีเหมือน SMIC

 

ความท้าทายและความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ

แม้ SMIC จะเป็น Pure-Play Foundry รายใหญ่ที่สุดของจีนและมีบทบาทสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจเทคโนโลยีของประเทศ แต่บริษัทกำลังเผชิญแรงกดดันหลายด้านที่ส่งผลต่อศักยภาพการแข่งขันอย่างมีนัยสำคัญ หนึ่งในความท้าทายหลักคือ ข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี (Technology Restrictions) ที่เกิดจากการขาดการเข้าถึงเครื่องจักรสำคัญอย่าง EUV lithography ซึ่งเป็นหัวใจในการผลิตชิปขั้นสูงระดับ 5 นาโนเมตรและเล็กกว่า จากมาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ และพันธมิตร ทำให้ SMIC ต้องหันมาพัฒนาเทคโนโลยีภายในโดยใช้เครื่อง DUV ที่มีประสิทธิภาพต่ำกว่าและต้องพึ่งกระบวนการหลายขั้น (multi-patterning) เพื่อให้ได้ความละเอียดใกล้เคียงกัน ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นและอัตราการผลิตที่ใช้ได้จริง (yield) ต่ำกว่ามาตรฐานโลกอย่างมาก

นอกจากข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีแล้ว SMIC ยังเผชิญแรงกดดันจาก ภูมิรัฐศาสตร์และการค้า โดยการถูกขึ้นบัญชี Entity List ของสหรัฐฯ และอยู่ใน Taiwan export control list ทำให้การเข้าถึงอุปกรณ์และซอฟต์แวร์สำคัญต้องผ่านใบอนุญาตพิเศษ กระทบต่อความต่อเนื่องของห่วงโซ่อุปทาน และเพิ่มความเสี่ยงในการขยายกำลังการผลิต

อีกประเด็นสำคัญคือ ความท้าทายด้านการดำเนินงานในระดับ Advanced Node ที่ยังเผชิญปัญหาอัตราการผลิต (yield) และความเสถียรของกระบวนการผลิต (process stability) โดยมีรายงานความขัดข้องระหว่างการบำรุงรักษา รวมถึงอุปกรณ์ใหม่ที่ต้องใช้เวลาปรับจูน ส่งผลให้กำลังการผลิตและคุณภาพของชิปลดลง โดยเฉพาะในช่วงที่ความต้องการของตลาดอยู่ในระดับสูง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นอุปสรรคที่ SMIC ต้องบริหารจัดการอย่างรอบคอบเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก

 

อนาคตและโอกาสของ SMIC

อนาคตของ SMIC มีศักยภาพเติบโตอย่างโดดเด่นจากทั้งปัจจัยเชิงโครงสร้างและนโยบายระดับชาติ ในด้านดีมานด์ โลกกำลังเข้าสู่ยุคที่ความต้องการเซมิคอนดักเตอร์พุ่งสูงจากเทคโนโลยีใหม่ เช่น 5G, ปัญญาประดิษฐ์ (AI), Internet of Things (IoT) และ รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งล้วนต้องการชิปที่มีความซับซ้อนสูงและผลิตได้ในปริมาณมาก ขณะเดียวกัน จีนในฐานะตลาดผู้บริโภคและผู้ผลิตสินค้าด้านเทคโนโลยีรายใหญ่ของโลก กำลังใช้ยุทธศาสตร์ “Made in China” และ นโยบายพึ่งพาตนเองทางเทคโนโลยี (Tech Self-sufficiency) เพื่อเร่งสร้างระบบนิเวศการผลิตชิปครบวงจรภายในประเทศ

รัฐบาลจีนได้จัดสรรเงินสนับสนุนผ่าน กองทุนอุตสาหกรรมชิปแห่งชาติ (China Integrated Circuit Industry Investment Fund) รวมถึงมาตรการทางภาษีและเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เพื่อผลักดันผู้ผลิตในประเทศอย่าง SMIC ให้สามารถเพิ่มกำลังการผลิตและพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงได้เร็วขึ้น การสนับสนุนนี้ทำให้ SMIC ไม่เพียงสามารถขยายโรงงานใหม่ในหลายเมือง เช่น ปักกิ่ง, เซี่ยงไฮ้ และเซินเจิ้น แต่ยังสามารถเร่งวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีในระดับ 28 นาโนเมตร และต่ำกว่า เพื่อลดช่องว่างกับคู่แข่งระดับโลกอย่าง TSMC และ Samsung

 

ในเชิงการดำเนินงาน ปัจจุบัน SMIC มีกำลังการผลิตที่ใช้งานเกือบเต็ม 100% และมีคำสั่งซื้อในประเทศต่อเนื่องจากบริษัทเทคโนโลยีจีน ทั้งผู้ผลิตสมาร์ทโฟน อุปกรณ์สื่อสาร และยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งทำให้บริษัทมี Pipeline ของรายได้ที่มั่นคง แม้เผชิญแรงกดดันจากข้อจำกัดด้านการนำเข้าอุปกรณ์ขั้นสูงจากสหรัฐฯ แต่สถานการณ์นี้กลับกระตุ้นให้จีนเร่งสร้าง ห่วงโซ่อุปทานชิปในประเทศ (Domestic Semiconductor Supply Chain) ซึ่ง SMIC จะเป็นหัวใจสำคัญของระบบนี้

 

หากมองในระยะกลางถึงยาว การผสมผสานระหว่าง ตลาดภายในประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก + การสนับสนุนเชิงนโยบาย + ดีมานด์จากเทรนด์เทคโนโลยีใหม่ ทำให้ SMIC มีโอกาสเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และอาจกลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่สามารถลดการพึ่งพาผู้ผลิตชิปรายใหญ่จากต่างชาติได้อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นจุดขายสำคัญที่นักลงทุนระดับโลกกำลังจับตามองอยู่ในขณะนี้

 

สนใจลงทุนในหุ้น SMIC (Ticker: 0981.HK) และและหุ้นเติบโตอื่น ๆ เปิดประสบการณ์ลงทุนไร้ขีดจำกัดกับแอป InnovestX! เข้าถึง 23 ประเทศ 31 ตลาดทั่วโลกได้ง่าย ๆ แค่ปลายนิ้ว เปิดบัญชีลงทุน คลิกเลย!👉https://innovestx.onelink.me/23if/2jlpsi7b

 

คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษา ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน

 

 

 

Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5