
1. ตลาดหุ้นปรับฐาน Dollar แข็งค่าและ Bitcoin ร่วงแรง
2. Goldman Sachs และ Morgan Stanley ชี้ตลาดอาจปรับฐานใน 1-2 ปี แต่มองเป็น Healthy correction
3. Scott Bessent ชี้สหรัฐฯมีทางเลือกอีกหลายช่องทางในการใช้นโยบายภาษีนำเข้า
4. ทรัมป์ลงนามลดภาษีเฟนทานีลจากจีนลงเหลือ 10% ตามข้อตกลงกับจีน
5. จีนเน้นย้ำสหรัฐฯ เคารพข้อตกลง เพื่อความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น
6. Lilly และ Novo ใกล้บรรลุข้อตกลงกับทำเนียบขาว ลดราคา Obesity drug แลกเข้า Medicare
7. การท่องเที่ยวไทยส่งสัญญาณฟื้นตัวขึ้น มีมาตรการภาครัฐเป็นปัจจัยหนุน
Bites for Breakfast
By INVX Investment Products & Strategy
05 November 2025
1. ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลง โดยดัชนี Nasdaq ร่วงนำตลาดกว่า 2% ขณะที่ S&P 500 ลดลง 1.17% และ MSCI World Index ลดลง 1.14% หุ้นกลุ่ม Semiconductor เช่น Nvidia และดัชนี SOX ร่วง 4% จากความกังวลเรื่องตลาดที่มีโอกาสปรับฐานหลัง CEO Goldman Sachs และ Morgan Stanley เตือนอาจเกิดได้มากกว่า 10% ใน 2 ปีข้างหน้า ด้าน Bitcoin ร่วงกว่า 6% หลุดระดับ $100,000 เป็นครั้งแรกตั้งแต่เดือนมิถุนายน ส่วน Dollar แข็งค่าขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือนเมื่อเทียบกับ Euro จากความคาดหวังว่าเฟดอาจไม่ลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีสหรัฐฯ ลดลงเล็กน้อย
2. CEO Goldman Sachs (David Solomon) และ CEO Morgan Stanley (Ted Pick) เตือนนักลงทุนเรื่องความเสี่ยงการปรับฐานหุ้น 10-20% ใน 1-2 ปีข้างหน้า โดยมองว่าเป็นเหตุการณ์ปกติ โดยไม่ได้เกิดจากปัจจัยมหภาคขนาดใหญ่หรือ "macro cliff" แต่เป็นการปรับฐานที่ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ปกติในวัฏจักรตลาดขาขึ้นระยะยาว พร้อมกับแนะนำให้นักลงทุนควรถือหุ้นและปรับพอร์ตมากกว่าพยายามจับจังหวะตลาด ในขณะที่มีเสียงเตือนจาก Bank of England และ IMF ถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ หนี้ภาครัฐ และมูลค่าหุ้นที่สูงโดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี
3. รัฐมนตรีคลังสหรัฐ Scott Bessent เปิดเผยว่าสหรัฐฯมีทางเลือกอีกหลายช่องทางในการใช้นโยบายภาษีนำเข้า หากศาลสูงสุดของสหรัฐตัดสินไม่ให้ใช้อำนาจบังคับภาษีตามกฎหมาย IEEPA ได้ โดยศาลสูงสุดจะพิจารณาคดีสำคัญนี้ในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2025 ซึ่งจะตัดสินว่าสหรัฐฯ โดยเฉพาะฝ่ายบริหาร มีอำนาจตามกฎหมายในการใช้อำนาจนี้เพื่อกดดันคู่ค้าต่างประเทศมากน้อยเพียงใด ถ้าศาลตัดสินว่าไม่สามารถใช้ IEEPA ได้ รัฐบาลยังสามารถหันไปใช้กฎหมายทางเลือก เช่น Section 232 ของ Trade Expansion Act 1962 ซึ่งให้สิทธิ์ในการใช้ภาษีนำเข้าด้านความมั่นคง และ Section 301 ของ Trade Act 1974 ที่ใช้กับประเด็นการค้าที่ไม่เป็นธรรม แต่จะมีข้อจำกัดมากกว่า IEEPA เจ้าหน้าที่ระดับสูงยังคงเชื่อว่าศาลจะหลีกเลี่ยงการแทรกแซงนโยบายเศรษฐกิจหลักของฝ่ายบริหาร
4. ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารลดภาษีสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเฟนทานีลจากจีนลงเหลือ 10% จากเดิม 20% ตามข้อตกลงทางการค้าล่าสุดระหว่างสหรัฐฯกับจีน ภาษีใหม่นี้จะมีผลจนถึงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2026 ทั้งนี้จีนตกลงระงับมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายากและจะนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯโดยเฉพาะถั่วเหลืองและไม้เพิ่มเติม ตามการเจรจานี้เกิดขึ้นในวันที่ 30 ตุลาคม 2025 ระหว่างผู้นำทั้งสองประเทศ
5. ทูตจีน Xie Feng เรียกร้องให้สหรัฐฯ เคารพข้อตกลงของจีนและสหรัฐฯ ("Red Line") ของประเทศหลังจากการเจรจาพักรบการค้าระหว่างนายสี จิ้นผิงและนายโดนัลด์ ทรัมป์ที่ปูซาน ทูตจีนประจำสหรัฐฯ กล่าวในเวทีธุรกิจที่เซี่ยงไฮ้ว่า การประชุมดังกล่าวได้ปรับทิศทางความสัมพันธ์ในช่วงเวลาสำคัญ และลดความตึงเครียดที่สร้างความกังวลต่อภาคธุรกิจสองชาติ พร้อมย้ำจุดยืนเรื่องไต้หวัน ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน ระบบการเมือง และสิทธิในการพัฒนาของจีนว่าเป็น "Red Line" ที่ไม่ควรละเมิด และหากถูกละเมิดอาจนำไปสู่ปัญหา จีนเรียกร้องให้ทั้งสองประเทศปฏิบัติตามความตกลงทางเศรษฐกิจและการค้าจากการเจรจาที่ปูซานและกัวลาลัมเปอร์ โดยให้ธุรกิจอเมริกันใช้โอกาสจากบรรยากาศที่ดีขึ้นหลังการประชุมในการลงทุนเพิ่มเติมในจีน โดยชี้ถึงโอกาสจากแผนพัฒนาห้าปีใหม่และการเปิดกว้างภาคบริการ
6. Eli Lilly และ Novo Nordisk เตรียมประกาศดีลกับรัฐบาลทรัมป์ เพื่อลดราคา Obesity drug (ยาลดน้ำหนัก) แลกกับการได้รับสิทธิ์ Medicare coverage ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุและผู้พิการในสหรัฐฯ เข้าถึงยาได้มากขึ้น โดยรายงานระบุว่าราคาขั้นต่ำของยาอยู่ที่ $149 ต่อเดือน และจะมีการขายผ่าน TrumpRx ด้วย ขณะที่ Lilly จะตั้งราคา Zepbound เริ่มต้นที่ $299 ต่ำกว่าราคาบนเว็บไซต์ DTC เดิม $50 การเจรจานี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย most-favored-nation pricing ที่รัฐบาลทรัมป์ผลักดันให้บริษัทยาลดราคาสหรัฐฯ ให้เท่ากับประเทศพัฒนาแล้ว และมีดีลคล้ายกันกับ Pfizer และ AstraZeneca ก่อนหน้านี้
7. นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทย 644,179 คน เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบสัปดาห์ก่อนหน้า ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มที่ไม่ใช่จีน สะท้อนว่าสัญญาณฟื้นตัวของการท่องเที่ยวเริ่มชัดเจนและผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 2/68 โดยในปีนี้คาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมจะอยู่ที่ 26,889,456 คน ลดลง 7.2% เมื่อเทียบปีก่อน ซึ่งช่วงเวลานี้เป็น High Season รวมถึงแนวโน้มการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีกในเทศกาลลอยกระทง ททท.คาดจะมีคนไทยเดินทางท่องเที่ยวในเทศกาลลอยกระทง 1.91 ล้านคน-ครั้ง สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจประมาณ 6,540 ล้านบาท โดยเฉพาะภาคเหนือคาดได้รับความนิยมสูงสุดและมีอัตราเข้าพักเฉลี่ย 65% เป็นนักท่องเที่ยวไทยราว 41% พร้อมปัจจัยหนุนจากมาตรการรัฐ เช่น คนละครึ่งพลัส และเที่ยวดีมีคืน
ประเด็นที่ต้องติดตาม: Eurozone Composite PMI เดือน ต.ค. คาดการณ์ที่ระดับ 52.2 จุด ก่อนหน้าที่ระดับ 51.2 จุด