เมื่อวานตลาดปรับตัวขึ้นแรง +20 จุดในช่วงแรกก่อนที่จะมีแรงเทขายออกมาจนปิดตลาดเหลือเพียง +3.45 จุด โดย DELTA เป็นหุ้นที่หนุนตลาดเพียงตัวเดียวมีผลต่อตลาด +3 จุด ขณะที่มองการเมืองไทยยังมีความไม่แน่นอนสูง และไทยยังไม่ได้โอกาสเจรจาการค้ากับสหรัฐ ทำให้วันนี้ตลาดยังมีโอกาสพักตัวหลังจากขึ้นต่อเนื่อง โดยการอ่อนตัวลงมีแนวรับหลักที่ 1205/1200 ส่วนการปรับตัวขึ้นคาดยังติดที่แนวต้าน 1220-1225/1235
แกว่งพักฐาน…ขึ้นยังมีแรงขาย
ประเด็นสำคัญ
• กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ใน เม.ย. ขยายตัว 2.3%YoY ต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้และชะลอจาก มี.ค. จากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำและฐานที่สูงในปีก่อนเป็นสัญญาณดี
• นายกฯ เผยความคืบหน้าการเจรจาเศรษฐกิจและการค้ากับสหรัฐฯ ว่าได้ส่งข้อเสนอการเจรจาราว 5-6 ข้อไปสู่กระทรวงการคลังและผู้แทนการค้าสหรัฐฯสัปดาห์ก่อนและอยู่ระหว่างรอการนัดหมาย
• รมว. คลัง สั่งจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจทำงานเชิงรุกในการให้ข้อมูลกับบริษัทจัดอันดับ S&P และ Fitch ก่อนที่จะเดินทางเข้ามาเก็บข้อมูลในช่วงปลายปีนี้ เพื่อรับมือการประเมินอันดับเครดิตเรทติง จากช่วงก่อนหน้านี้ Moody’s ได้ลด Outlook ของไทยไป
• ที่ประชุม ครม. เห็นชอบการออก Thailand Digital Token ซึ่งเป็นวิธีการกู้เงินตาม พ.ร.บ. บริหารหนี้สาธารณะ เพื่อเปิดทางให้มีการออกโทเคนดิจิทัลของภาครัฐ (G-token) เป็นเครื่องมือการระดมทุนใหม่ของรัฐบาล ตั้งเป้าทดลองการออกชุดแรกราว 5 พันลบ.
• สหรัฐฯ ปรับลดภาษีนำเข้าสินค้าจีนที่มีมูลค่าต่ำ(de minimis) ราคาไม่เกิน US$800 ลงเหลือ 54% เดิมที่ 120% แต่จะยังคิดค่าธรรมเนียมขั้นต่ำ US$100 ต่อรายการ มีผลตั้งแต่วันที่ 14 พ.ค.
• สถาบันการเงินระดับโลก เช่น Morgan Stanley, UBS, Natixis และ Nomura ต่างปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP จีนปี 2568 ขึ้น หลังสหรัฐฯ และจีนมีข้อตกลงเบื้องต้นเกี่ยวกับการปรับลงภาษีศุลกากรลงทั้งสองฝ่ายเป็นเวลา 90 วัน และมองเป็นสัญญาณผ่อนคลายต่อความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET จะปรับตัวขึ้นสอดคล้องกับตลาดหุ้นทั่วโลก เนื่องจากคลายความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า หลังสหรัฐและจีนบรรลุข้อตกลงปรับลดภาษีศุลกากรระหว่างกันเป็นเวลา 90 วัน อย่างไรก็ดีคาด SET ยังมี Upside จำกัด หลังปรับตัวขึ้นมาสะท้อนความคาดหวังเชิงบวกจากการเจรจาทางการค้าไปก่อนหน้านี้จนทำให้ดัชนียืนเหนือระดับ 1200 จุด สูงกว่าก่อนเกิดเหตุการณ์ ปธน. ทรัมป์ประกาศภาษีศุลกากรตอบโต้ประเทศคู่ค้าไปแล้ว อีกทั้งในประเทศยังต้องติดตามการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับไทยที่ยังไม่มีความคืบหน้า และการเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายประกาศงบ 1Q68 ของหุ้น Real Sector ทำให้บรรยากาศลงทุนน่าจะยังเป็นไปอย่างระมัดระวัง โดยมองมีแนวต้านสำคัญบริเวณ 1250 จุด ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงคงแนะนำให้ “Selective Buy”
ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์
มอง SET มีโอกาสปรับขึ้นขานรับสหรัฐและจีนบรรลุข้อตกลงปรับลดภาษีศุลกากร แต่ Upside ยังจำกัด หลังดัชนีปรับขึ้นสะท้อนภาพบวกไประดับหนึ่งแล้ว อีกทั้งในประเทศยังไร้ปัจจัยหนุนและอยู่ระหว่างติดตามประกาศงบ 1Q68 กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลัก และ 2 ธีมเทรดดิ้ง ที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
1. หุ้น Earning Play ซึ่งโมเมนตัมกำไรยังเติบโตแข็งแกร่ง โดย 1Q68-2Q68 คาดกำไรปกติจะเติบโตได้ทั้ง YoY และ QoQ เลือก ADVANC TRUE BTG CPF CPALL OR
2. หุ้น Undervalued ซึ่งปัจจุบันซื้อขายที่ PER และ PBV 68F ระดับต่ำกว่า -1SD ขณะที่ปี 2568 คาดกำไรยังเติบโตได้ดี YoY และมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง แนะนำ GULF MTC CBG SPRC GPSC
3. หุ้นที่คาดเป็นเป้าหมาย ThaiESGX โดย 1) ปี 2568 คาดกำไรเติบโต YoY 2) ฐานะการเงินแกร่ง และ 3) จ่ายปันผลสม่ำเสมอ คาดให้ Div. Yield อย่างน้อยปีละ 3% พบหุ้นน่าสนใจ SET50 : ADVANC BDMS CPALL PTT และ SET100 : BCH BTG AP
4. Trading Idea : นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการแนะนำเก็งกำไร สำหรับ 1) หุ้นที่คาดจะประกาศงบ 1Q68 ออกมาเติบโตดี YoY และ QoQ ในสัปดาห์หน้า แนะนำ BTG MTC CPF BEM BCH และ 2) หุ้นที่ได้รับผลกระทบมาตรการภาษีสหรัฐซึ่งคาดราคาหุ้นจะฟื้นตัวเร็ว (High Beta) หากสงครามการค้ามีสัญญาณคลี่คลาย แนะนำ KTB BBL BCP PTT SCCC FTREIT AMATA
Daily top picks
CPALL : ราคาหุ้นมีปัจจัยกระตุ้นระยะสั้นจากกกำไร 1Q68 ดีกว่าคาด และประกาศโครงการซื้อหุ้นคืน (ไม่เกิน 1.67% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด) ตั้งแต่วันที่ 16 พ.ค.-14 พ.ย. 68 ซึ่งจะช่วยจำกัด downside ของราคาหุ้น อีกทั้งกำไร 2Q68 คาดจะเติบโต YoY และปี 2568 จะเติบโตดีที่สุดในกลุ่มที่ 19%YoY (กลุ่ม 5%YoY) และซื้อขาย PER 68Fที่ 16 เท่า (กลุ่ม 17 เท่า)
KTB : ราคาหุ้นมีปัจจัยกระตุ้นระยะสั้นจากมีโอกาสฟื้นตัวตามภาพรวมตลาด และเป็นหุ้นเด่นกลุ่มธนาคาร โดยมีความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่ำกว่าธนาคารอื่นๆ มี LLR Coverage สูง และคาดให้ Div. Yield น่าสนใจที่ระดับ 7.7% อีกทั้งคาดเป็นเป้าหมายกองทุน ThaiESGX หลังมี SETESG Rating “AAA” วันนี้แนะนำเข้าซื้อเก็งกำไรราคาไม่เกิน 22.80 บาท/หุ้น
Resting, still seeing profit taking
Yesterday the SET jumped by 20 points before facing profit-taking and closed up just 3.45 points, with DELTA supplying 3 points of that rise. Political uncertainty and no progress in talks with the US will lead the market to rest after a steady rise. If the market weakens, there is a main support at 1205-1200, with resistance at 1225-1235.
Today’s highlights
• US Commerce Department reports the CPI in April grew 2.3%YoY, lower than market expectations and slowing from March, which is a positive trend due to lower oil prices and the high 2024 base.
• The PM says there has been progress on economic and trade negotiations with the US, with 5-6 proposal points sent to the US Treasury Department and Trade Representative last week, though discussions have not yet been rescheduled.
• The Minister of Finance ordered a special task force to be set up to proactively provide information to credit rating agencies S&P and Fitch before their data collection visits later this year, addressing concerns after Moody's earlier downgraded Thailand's outlook.
• The Cabinet approved the issuance of Thailand Digital Tokens under the Public Debt Management Act, paving the way for government digital tokens (G-token) as a new government fundraising tool, with initial test issuance targeted at Bt5bn.
• The US cut import tariffs on low-value Chinese goods (de minimis) priced under US$800 from 120% to 54%, while maintaining a minimum fee of US$100 per item, effective on May 14.
• Global financial institutions including Morgan Stanley, UBS, Natixis, and Nomura have raised their 2025 GDP forecasts for China following preliminary agreements between the US and China to reduce bilateral tariffs for 90 days, viewing this as a sign of easing geopolitical risks.
Strategy today
In the short term the SET is expected to follow the region up on eased concerns over the trade war after the US and China agreed to a 90-day pause in the tariffs. However, the SET has limited upside as it has already factored in the positives and expectations for US-China talks, pushing the index to stand above 1200 which is higher than before Trump levied his tariffs. Domestically, the talks between the US and Thailand are still on hold and 1Q25 earnings season is causing a cautious investment atmosphere with resistance at 1250. Our investment strategy remains "Selective Buy".
Trading today
The SET is expected to rise, responding to the initial 90-day tariff cuts coming out of the US-China talks. However, upside is limited as the index has already moved up to reflect the positives and there is no new domestic catalyst. 1Q25 earnings will continue to be released. Our investment strategy is for "selective buy" in 3 main themes and 2 trading themes with specific positive factors:
1. Earnings plays with profit expected to grow strongly, and core profit growth both YoY and QoQ in the first half – ADVANC, TRUE, BTG, CPF, CPALL and OR.
2. Undervalued stocks with 2025F PER and PBV below -1SD, profit growth expected in 2025 and solid financially – GULF, MTC, CBG, SPRC and GPSC.
3. Stocks expected to be targets of ThaiESGX: 1) 2025 profit expected to grow, 2) strong financial position and 3) steady dividends with yield of at least 3% - on SET50 are ADVANC, BDMS, CPALL and PTT and on SET100 are BCH, BTG and AP.
4. Trading idea: For high-risk-takers, we recommend speculating on 1) stocks whose 1Q25 earnings are expected to grow YoY and QoQ – BTG, MTC, CPF, BEM and BCH; and 2) stocks exposed to US tariffs but who are expected to recover quickly (high beta) if there are signs of relief in the trade war– KTB, BBL, BCP, PTT, SCCC, FTREIT and AMATA.
Daily top picks
CPALL: Price has short-term catalysts from better-than-expected 1Q25 earnings and an announcement of a share repurchase program (up to 1.67% of shares) from May 16–Nov 14, 2025, which will help limit downside. 2Q25 profit is expected to grow YoY, and 2025 profit growth is expected to outperform peers at 19%YoY (peers at 5%YoY) and is trading at 2025F PER of 16x (peers at 17x).
KTB: Price has a short-term catalyst and is expected to recover in line with the market. KTB is also our top bank pick. It has lower quality asset risk than others, high LLR coverage and high dividend yield of 7.7.%. The stock is expected to be a target of ThaiESGX funds with SETESG rating of AAA. Recommend to buy for trading at not higher than Bt22.80/share.
Download EN version click >> Daily250514_E.pdf
