Keyword
PDF Available  
Macro Making Sense

Macro Making Sense – สรุปงานสัมมนา Navigating New Frontiers: Business in a Changing World

By ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์|17 Jul 25 8:00 AM

สรุปงานสัมมนา Navigating New Frontiers: Business in a Changing World โดย Baker McKenzie Thailand

 

  • โลกหลังทรัมป์กำลังเปลี่ยนทิศทางของการค้าโลกอย่างสิ้นเชิง ทรัมป์ใช้เกมการเจรจาแบบ Chicken Game ข่มขู่ให้คู่ค้าเป็นฝ่ายถอยก่อน พร้อมตั้ง Anchor ด้วยการยื่นข้อเสนอเกินจริง แล้วค่อยถอยลงมาที่ข้อเสนอจริงที่ต้องการ การตั้งภาษีของสหรัฐฯ แบ่งเป็นสี่รูปแบบ คือ ภาษีพื้นฐาน 10% กับทุกประเทศ ภาษีตอบโต้กับประเทศที่สู้กลับ เช่น จีนและ EU ขณะที่เวียดนามและอินโดนีเซียไม่ต้องเจอ ภาษีพิเศษกับเม็กซิโก แคนาดา และจีนจากปัญหาเฟนทานิลและผู้อพยพ และภาษีเฉพาะกลุ่มในอุตสาหกรรม เช่น เหล็ก ยา ทองแดง และรถยนต์

  • ไทยอยู่ในกลุ่มที่โดนกดดันมากขึ้นเพราะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ friend-shoring แบบเวียดนาม ซึ่งมี Trump Tower ตั้งอยู่ที่โฮจิมินห์ ไทยน่าจะไม่ยอมเปิดตลาดเกษตรเต็มรูปแบบแต่จะใช้โควตาแบบที่ EU ใช้และอาจยอมลดภาษีสินค้าที่ไทยไม่มีศักยภาพผลิตเองลงเหลือ 0% โดยคาดว่าไทยจะถูกเก็บภาษีจากสหรัฐฯ สูงกว่าเวียดนามที่ระดับ 20–30%

  • ในด้านการเมืองโลก เสรีนิยมประชาธิปไตยกำลังเสื่อมถอย การตีความกฎหมายใหม่ของสหรัฐฯ ทำให้ Check and Balance อ่อนแอลง ขณะที่กฎหมายระหว่างประเทศ เช่น Paris Agreement และ WHO กำลังถูกลดบทบาท ภาคธุรกิจต้องเตรียมรับมือกับ Reshoring การจัดทำ FTA รูปแบบใหม่ และ Supply Chain ที่สั้นลง

  • แม้ดอลลาร์สหรัฐยังเป็นเงินสำรองหลักของโลกอยู่ที่ 40–50% แต่อเมริกากำลังมีบทบาทลดลงในเวทีระหว่างประเทศ ความขัดแย้งจะไม่ถึงขั้นสงครามใหญ่ แต่จะเกิดการปะทะขนาดย่อยในลักษณะ skirmish เช่น ไต้หวันและทะเลจีนใต้ สำหรับไทย การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเป็นสิ่งจำเป็น โดยต้องเร่งพัฒนา Digital Infrastructure และปรับการศึกษาให้คนไทยรักการเรียนรู้ ภาคธุรกิจต้องกระจายความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์ เน้นความสามารถที่ลอกเลียนแบบไม่ได้ เตรียมพร้อมรับ FTA กับ EU และตั้ง Benchmark เทียบระดับโลก

 

ไทยคาดว่าถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่ต้องเผชิญแรงกดดันมากขึ้น สหรัฐฯ อาจบีบให้ไทยต้องเปิดตลาดการค้าให้กว้างขึ้น

 

 

  • บทความนี้เรียบเรียงจากประเด็นที่ผู้เขียนได้เข้าร่วมงาน Navigating New Frontiers: Business in a Changing World ซึ่งจัดโดย Baker McKenzie Thailand เมื่อวันที่ 16 ก.ค. บรรยายโดย รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ และ ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ ที่สะท้อนภาพการเปลี่ยนแปลงของภูมิรัฐศาสตร์ การค้าโลก และบทบาทของไทยในเศรษฐกิจระหว่างประเทศ

  • โลกในยุคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังเดินหน้าเข้าสู่ยุคของการเปลี่ยนแปลงด้านการค้าและภูมิรัฐศาสตร์ โดยมีหลักคิดสำคัญคือ “เกมไก่” (Chicken Game) ที่บีบบังคับให้ประเทศคู่ค้าเป็นฝ่ายถอยก่อน หรือยอมอ่อนข้อเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะเต็มรูปแบบ

  • อีกหนึ่งในกลยุทธ์หลักที่ทรัมป์ใช้คือการตั้ง “Anchor” ในการเจรจา หรือเรียกง่ายๆ ว่า “ขอไปเกินจริงก่อน” วิธีนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ในโลกการเจรจา แต่นำมาใช้กับนโยบายระดับประเทศอย่างเข้มข้นในยุคของทรัมป์ เช่น การขู่จะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีน 60% ทั้งที่จริงแล้วเป้าหมายแท้จริงอาจเป็นแค่การบีบให้จีนยอมเปิดตลาดในภาคบริการ หรือให้ยอมยกเลิกข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีบางส่วน การตั้ง Anchor ลักษณะนี้ทำให้กรอบการเจรจาถูกเลื่อนไปในจุดที่สหรัฐฯ ได้เปรียบ เมื่อสุดท้ายยอมถอยลงมาในระดับที่ต้องการจริง ก็สามารถอ้างได้ว่าเป็นการประนีประนอม ทั้งที่ได้สิ่งที่ต้องการครบถ้วนแล้ว

  • ด้านภาษี ทรัมป์ได้วางโครงสร้างภาษีใหม่ที่แบ่งออกเป็น 4 แบบ ได้แก่ ภาษีพื้นฐานหรือ Baseline Tariff ที่ตั้งไว้ 10% สำหรับทุกประเทศ จากนั้นมีภาษี Reciprocal Tariff ที่เรียกเก็บกับประเทศที่ตอบโต้สหรัฐฯ เช่น จีน แคนาดา และสหภาพยุโรป ขณะที่ประเทศที่ไม่สู้กลับ เช่น เวียดนามและอินโดนีเซีย จะได้รับข้อยกเว้น นอกจากนี้ยังมีภาษีพิเศษ (Special Tariff) ที่ใช้กับบางประเทศในประเด็นเฉพาะ เช่น เม็กซิโก แคนาดา และจีน อ้างอิงจากประเด็นปัญหาเฟนทานิลและการลักลอบข้ามแดน ส่วนสุดท้ายคือ Sectoral Tariff หรือภาษีเฉพาะกลุ่มสินค้า เช่น เหล็ก ยา ทองแดง และรถยนต์

  • สำหรับประเทศไทย สถานการณ์ในรอบนี้ไม่ง่ายเหมือนในอดีต เพราะไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่ต้องเผชิญแรงกดดันมากขึ้น สหรัฐฯ อาจบีบให้ไทยต้องเปิดตลาดการค้าให้กว้างขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมและบริการ แม้ว่าไทยจะมีท่าทีชัดเจนว่าจะไม่ยอมเปิดตลาดเกษตรแบบเต็มรูปแบบ แต่คาดว่าอาจเลือกใช้ระบบโควตาแบบที่สหภาพยุโรปใช้ ขณะเดียวกันประเด็นความมั่นคงและความสัมพันธ์กับจีน ไทยน่าจะรักษาจุดยืนเดิมไว้ ไม่ยอมอ่อนข้อให้สหรัฐฯ มากนัก อย่างไรก็ตาม ไทยอาจต้องยอมให้มีการตรวจสอบในเรื่องการสวมสิทธิ์แหล่งกำเนิดสินค้าหรือ Transshipment มากขึ้น เพื่อป้องกันข้อครหาว่าไทยเป็นทางผ่านสินค้าจีนเข้าสหรัฐฯ นอกจากนี้ ไทยอาจยอมลดภาษีนำเข้าเป็น 0% ในสินค้าที่ไม่มีผลกระทบกับเศรษฐกิจในประเทศ หรือเป็นสินค้าที่ไทยไม่ได้ผลิตเองอยู่แล้ว
Author
Slide3
ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์

หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ

Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5