สรุปสาระสำคัญ
สรุปคำแนะนำการลงทุนประจำวันที่ 1- 5 ธันวาคม 2025
มุมมองรายสินทรัพย์ประจำสัปดาห์
ตราสารทุน
สัปดาห์หน้าคาดว่าตลาดหุ้นโลกยังมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อ โดยได้รับแรงหนุนจากความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นว่าเฟดอาจปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ธ.ค. ประกอบกับการยุติ QT ในวันที่ 1 ธ.ค. ซึ่งช่วยเพิ่มสภาพคล่องและปรับ Sentiment ต่อสินทรัพย์เสี่ยง ขณะเดียวกัน ตลาดยังส่งสัญญาณของ Sector rotation ที่ดำเนินต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนภาวะตลาดที่ยังอยู่ในโครงสร้างแบบ Healthy เราประเมินว่าการย่อตัวเป็นระยะของตลาดหุ้นเป็นจังหวะในการทยอยสะสมหุ้นที่มีศักยภาพการเติบโตของกำไรโดดเด่นในช่วงถัดไป อาทิ หุ้นเทคโนโลยีจีนและหุ้นสหรัฐฯ ขนาดเล็ก ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นยุโรปมีแนวโน้มได้รับประโยชน์จากกระแส Country rotation จากฝั่งสหรัฐฯ ซึ่งช่วยลดการกระจุกตัวในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีระดับโลก
ตราสารหนี้
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ (Bond Yield) มีแนวโน้มปรับตัวลดลง หลังการยุติ QT เริ่มใกล้เข้ามา พร้อมกับตลาดเริ่มปรับมุมมองว่า เฟดมีโอกาสสูงขึ้นที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค. ในขณะที่ความคาดหวังต่อประธานเฟดคนใหม่ที่จะใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นเป็นอีกปัจจัยที่สนับสนุนให้ Bond Yield สำหรับตราสารหนี้ระยะกลาง-ยาวปรับตัวลดลงได้ แต่การขาดดุลการคลังของสหรัฐฯ ยังเป็นปัจจัยกดดันในภาพใหญ่ จะจำกัดการปรับตัวลดลงของ Bond Yield โดยภาวะในปัจจุบันเราประเมินตราสารหนี้ระยะกลางที่มีอายุเป็น 3-5 ปี เป็นช่วงอายุที่มีความเหมาะสมที่สุด
สินทรัพย์ทางเลือก
เราประเมินว่าราคาทองคำยังเคลื่อนไหวในกรอบ $4,000–$4,200 โดยอยู่ในช่วงการสร้างฐานราคา (consolidation phase) ในระยะสั้นเรามองว่าทองคำยังไม่น่าทะลุจุดสูงสุดเดิมได้ และมีแนวโน้มแกว่งตัวสะสมในกรอบเดิมไปก่อนจนถึงช่วงไตรมาส 1/2026 ทั้งนี้ ทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจในระยะยาว ในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง
ด้าน REITs ไทยมีแนวโน้มได้รับปัจจัยบวกจากการใช้นโยบายการเงินของ ธปท. ที่ผ่อนคลาย อย่างไรก็ตามความเสี่ยงที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจอาจชะลอตัวลงเป็นแรงกดดันต่อ REITs ในระยะสั้น-กลาง
[Theme Play]
หุ้น US Small Cap: หุ้นสหรัฐฯ ขนาดเล็กได้รับแรงหนุนจากวงจรดอกเบี้ยขาลงและนโยบายการคลังของรัฐบาลทรัมป์ อย่างนโยบาย One Big Beautiful Bill (OBBB) ซึ่งมุ่งกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ ส่งผลบวกต่อกลุ่มบริษัทขนาดเล็กที่มีรายได้ในประเทศกว่า 80% ขณะเดียวกัน ผลประกอบการของบริษัทในดัชนี Russell 2000 เริ่มกลับมาเติบโต YoY เป็นบวก ครั้งแรกในรอบ 3 ปี ในไตรมาส 3/2025 และคาดว่าจะเร่งตัวต่อเนื่องในปี 2026 ขณะที่เฟดมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในช่วงไตรมาส 4/2025 ช่วยลดต้นทุนทางการเงินของภาคธุรกิจและสนับสนุนการฟื้นตัวของกำไร นอกจากนี้ Valuation ของหุ้นขนาดเล็กยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยซื้อขายที่ FWD P/E ราว 17.5 เท่า ต่ำกว่าดัชนี S&P 500 ที่ 23 เท่า เราประเมินว่าปัจจัยหนุนทั้งนโยบายการเงินผ่อนคลายและการฟื้นตัวของกำไร จะหนุนให้หุ้น US Small Cap มีโอกาสปรับตัวขึ้นโดดเด่นในระยะถัดไป
China Technology: งบการเงินไตรมาส 3/2025 ของหุ้นเทคฯจีน ยังคงเติบโตขึ้นทั้งรายได้และกำไรกว่า 10% แม้อัตราการทำกำไรของบางกลุ่มถูกกดดันจากการแข่งขันที่รุนแรง แต่เริ่มส่งสัญญาณผ่อนคลายลง หนุนให้กำไรมีโอกาสเร่งตัวขึ้นในระยะถัดไป ในขณะที่การประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีนยังคงเน้นย้ำการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี การเติบโตเชิงคุณภาพ และการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด นโยบายเหล่านี้ยังคงมีแนวโน้มสนับสนุนการเติบโตของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจีนต่อ ด้าน Valuation ยังคงอยู่ในระดับที่ไม่แพง ในขณะที่ EPS Growth มีแนวโน้มกลับมาเติบโตได้ดีใน 1-2 ปีข้างหน้า
Europe Equity: สัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจยุโรปยังคงมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่เงินเฟ้ออยู่ในระดับควบคุมได้ ด้าน BoE ส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย เป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุนในหุ้นยุโรป ด้านกำไรของบริษัทจดทะเบียนในดัชนี STOXX 600 มีการเร่งตัวขึ้นในไตรมาสที่ 3/2025 และคาดว่าจะดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2026 มีโอกาสจะนำไปสู่การอัปเกรด EPS Growth และช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุน โดย STOXX 600 ยังคงมีระดับ Forward PE ที่สมเหตุสมผล มีโอกาสให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อในช่วงที่ EPS เร่งตัวขึ้นต่อเนื่อง
[Event Play]
Global Healthcare: เราประเมินว่าโมเมนตัมของกลุ่ม Healthcare ยังมีแนวโน้มไปต่อ ภายใต้แรงหนุนจากปัจจัยลบต่างๆ ที่คลี่คลายลงและ Valuation ของหุ้นกลุ่ม Healthcare ยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับตลาดโดยรวมที่ตึงตัว นอกจากนี้ ความกังวลต่อมูลค่าที่ตึงตัวของหุ้นในธีม AI อาจกระตุ้นให้เกิดการ Rotation จากหุ้นในกลุ่ม Growth ไปสู่หุ้น Defensive อย่างหุ้นกลุ่ม Healthcare