สรุปสาระสำคัญ
สรุปคำแนะนำการลงทุนประจำวันที่ 17 - 21 พฤศจิกายน 2025
มุมมองรายสินทรัพย์ประจำสัปดาห์
ตราสารทุน
สัปดาห์หน้า คาดว่าตลาดหุ้นจะเคลื่อนไหวผันผวนจากความกังวลที่เฟดอาจไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค. นี้ ทั้งนี้ เรายังคงเห็นสัญญาณของ Sector rotation ที่ยังคงดำเนินต่อไปส่งผลให้ Sector ที่เคยถูกมองข้ามเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งสะท้อนว่า นักลงทุนยังคงอยู่ในโหมด Risk on และ การปรับฐานรอบนี้เป็นเพียงการเกิด Healthy Correction เพื่อปรับสมดุลของตลาด เพื่อรับประโยชน์จากภาวะดังกล่าวแนะนำเน้นหุ้นกลุ่ม Defensive เช่น Healthcare เพื่อรักษาความเสี่ยงพอร์ต และมีโอกาสได้รับประโยชน์จาก Sector rotation ขณะเดียวกันยังมองโอกาสทยอยสะสมหุ้นที่มีแนวโน้มกำไรเติบโตเด่นในระยะต่อไป โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีจีนและหุ้นสหรัฐฯ ขนาดเล็ก (US Small Cap) นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้แรงหนุนจาก Valuation ที่ยังคงไม่แพง และนักลงทุนที่อาจมีความต้องการกระจายความเสี่ยงออกจากหุ้นสหรัฐฯตามที่เราคาดการณ์ ยังคงมีโอกาสให้หุ้นยุโรปปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อได้
ตราสารหนี้
ตราสารหนี้มีแนวโน้มผันผวน จากความไม่แน่นอนในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด รอบเดือน ธ.ค. 2026 ในขณะที่การยุติ US Government Shutdown ช่วยลดความเสี่ยงขาลงด้านเศรษฐกิจ เป็นปัจจัยกดดันที่ทำให้ Bond Yield ตราสารหนี้อายุยาวของสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นในระยะสั้น นอกจากนี้การขาดดุลการคลังของสหรัฐฯ ยังเป็นปัจจัยกดดันในภาพใหญ่ ที่ส่งผลให้ Bond Yield จะปรับตัวลดลงได้อย่างจำกัดแม้มีเฟดมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยภาวะในปัจจุบันเราประเมินตราสารหนี้ระยะกลางที่มีอายุเป็น 3-5 ปี เป็นช่วงอายุที่มีความเหมาะสมที่สุด
สินทรัพย์ทางเลือก
ราคาทองคำดีดกลับมาที่ราว $4,200 หลังการปรับฐานแรง แต่ภาพรวมยังเป็นเพียงการเคลื่อนไหวในกรอบสะสมระยะสั้นมากกว่าจะเป็นสัญญาณกลับตัวขึ้นทันที โดยในรอบก่อนหน้า ทองมักย่อลงมาทดสอบ 50-SMA และแกว่งตัวสะสมราว 60–90 วันทำการ ก่อนกลับเข้าสู่ขาขึ้นอีกครั้ง ทำให้เราประเมินว่าราคายังไม่น่าทะลุจุดสูงสุดเดิมในช่วงใกล้นี้ และยังเป็นการแกว่งตัวในกรอบสะสมไปก่อน
ด้าน REITs ไทยมีแนวโน้มได้รับปัจจัยบวกจากการใช้นโยบายการเงินของ ธปท. ที่ผ่อนคลาย อย่างไรก็ตามความเสี่ยงที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจอาจชะลอตัวลงเป็นแรงกดดันต่อ REITs ในระยะสั้น-กลาง
[Theme Play]
หุ้น US Small Cap: หุ้นสหรัฐฯ ขนาดเล็กได้รับแรงหนุนจากวงจรดอกเบี้ยขาลงและนโยบายการคลังของรัฐบาลทรัมป์ อย่างนโยบาย One Big Beautiful Bill (OBBB) ซึ่งมุ่งกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ ส่งผลบวกต่อกลุ่มบริษัทขนาดเล็กที่มีรายได้ในประเทศกว่า 80% ขณะเดียวกัน ผลประกอบการของบริษัทในดัชนี Russell 2000 เริ่มกลับมาเติบโต YoY เป็นบวก ครั้งแรกในรอบ 3 ปี ในไตรมาส 3/2025 และคาดว่าจะเร่งตัวต่อเนื่องในปี 2026 ขณะที่เฟดมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในช่วงไตรมาส 4/2025 ช่วยลดต้นทุนทางการเงินของภาคธุรกิจและสนับสนุนการฟื้นตัวของกำไร นอกจากนี้ Valuation ของหุ้นขนาดเล็กยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยซื้อขายที่ FWD P/E ราว 17.5 เท่า ต่ำกว่าดัชนี S&P 500 ที่ 23 เท่า เราประเมินว่าปัจจัยหนุนระหว่างนโยบายการเงินผ่อนคลาย และการฟื้นตัวของกำไร จะหนุนให้หุ้น US Small Cap มีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อในระยะกลาง
China Technology: การประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีนยังคงเน้นย้ำการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี การเติบโตเชิงคุณภาพ และการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด นโยบายเหล่านี้ยังคงมีแนวโน้มสนับสนุนการเติบโตของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจีนต่อ ในขณะที่การประกาศให้ data Center ที่มีรัฐบาลเป็นผู้สนับสนุนต้องเปลี่ยนมาใช้ชิปภายในประเทศ เป็นปัจจัยบวกต่อเซมิคอนดักเตอร์ของจีนให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อได้ ด้าน Valuation ยังคงอยู่ในระดับที่ไม่แพง ในขณะที่ EPS Growth มีแนวโน้มกลับมาเติบโตได้ดีใน 1-2 ปีข้างหน้า
Europe Equity: สัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจยุโรปยังคงมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค. นี้ เป็นปัจจัยหนุนให้หุ้น UK และดัชนีหุ้นยุโรปที่มีสัดส่วนการลงทุนใน UK ปรับตัวเพิ่มขึ้น ด้านกำไรของบริษัทจดทะเบียนในดัชนี STOXX 600 มีการเร่งตัวขึ้นในไตรมาสที่ 3/2025 และคาดว่าจะดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2026 มีโอกาสจะนำไปสู่การอัปเกรด EPS Growth และช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุน โดย STOXX 600 ยังคงมีระดับ Forward PE ที่สมเหตุสมผล มีโอกาสให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อในช่วงที่ EPS เร่งตัวขึ้นต่อเนื่อง
China A-Shares: ตัวเลข CPI จีนพลิกกลับมาเป็นบวก หนุนความคาดหวังปัญหาเงินฝืดจีนเริ่มคลี่คลายลง ในขณะที่เราประเมินว่า รัฐบาลจีนยังคงมีแนวโน้มใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้เศรษฐกิจจีนสามารถเติบโตได้ตามเป้าที่ระดับ 5% เป็นปัจจัยหนุนต่อหุ้นจีนต่อเนื่อง ในขณะที่กำไรของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาสที่ 3 เติบโตราว 11% YoY เร่งตัวขึ้นจากไตรมาสก่อนเป็นปัจจัยหนุน ขณะเดียวกัน Valuation อยู่ในระดับไม่ตึงตัวมาก ช่วยให้ดัชนียังคงมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อ
[Event Play]
Global Healthcare: Eli Lilly เซ็นสัญญา 475 ล้านดอลลาร์กับ MeiraGTx เพื่อพัฒนาเทคโนโลยี gene therapy สำหรับโรคตาพันธุกรรมรุนแรง โดย Lilly ได้สิทธิ์ทั่วโลกในการใช้เทคโนโลยี AAV-AIPL1 สำหรับการรักษาโรคทางตา พร้อมสิทธิ์เข้าถึงเทคโนโลยี Riboswitch เพื่อประยุกต์ใช้ในการ gene editing ในอนาคต ดีลนี้สะท้อนการขยายตัวของนวัตกรรมในอุตสาหกรรมยาที่ยังคงเดินหน้าต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาหุ้น Eli Lilly ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ และเป็นแรงบวกหนุนต่อหุ้นกลุ่ม Healthcare โดยรวม เราประเมินว่าโมเมนตัมของกลุ่ม Healthcare ยังมีแนวโน้มไปต่อ ภายใต้แรงหนุนจากปัจจัยลบต่างๆ ที่คลี่คลายและ Valuation ที่ยังอยู่ในระดับน่าสนใจเมื่อเทียบกับตลาดโดยรวมที่เริ่มตึงตัว สอดคล้องกับภาวะ sector rotation ที่เริ่มเอนเข้าสู่หุ้น Defensive มากขึ้นในช่วงนี้