Keyword
PDF Available  
News update Thai Stocks

News Update - อาหาร ผลกระทบจาก new tariff US ต่อผู้ส่งออกและผู้นำเข้า

By ศิริมา ดิสสรา, CFA|1 Aug 25 4:58 PM
สรุปสาระสำคัญ

ผลกระทบจาก new tariff US ต่อผู้ส่งออกและผู้นำเข้า

ผลกระทบจากการปรับ Tariff จาก US ต่อกลุ่มอาหาร โดยในฝั่งผู้ส่งออก (ITC TU) เรามองเป็นลบเล็กน้อยต่อยอดขาย จากปริมาณการขายที่ลดลง (จากราคาขายปลายทางที่ US เพิ่มขึ้น และอาจมีการช่วยรับราคาที่เพิ่มขึ้นบางส่วน) แต่ไม่มีผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันอย่างมีนัยยะ ขณะที่ฝั่งผู้นำเข้า (CPF BTG GFPT) มองเป็นบวกต่อต้นทุนการผลิต และมีผลกระทบการนำเข้าหมูมีจำกัด (แต่ผลกระทบมากน้อยยังต้องติดตามโควตาการนำเข้าและระยะเวลาที่ภาษีนำเข้าใหม่มีผล ปัจจุบันเนื้อข่าวยังไม่มีรายละเอียดชัดเจน)

ผลกระทบในฝั่งผู้ส่งออก

 

o ITC (ส่งออก US สัดส่วน 58%) บริษัทมองว่าความสามารถในการแข่งขันในการส่งออก Pet food ของบริษัทไปยัง US ไม่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยยะ เทียบกับประเทศคู่แข่งหลัก (อย่างจีน เวียดนาม แคนาดา) และผู้ผลิตหลักใน US เอง (สินค้า ITC premium กว่า / ใช้ raw material จาก raw meat ที่ดีกว่าและใช้ labor intensive สำหรับสินค้า premium / ผู้ผลิตใน US มีอัตรากำลังการผลิตเต็มแล้ว ณ ปัจจุบัน และต้องใช้เวลาในการขยาย) แต่มีการปรับลดเป้ายอดขายบางส่วนลง จากเดิมโต 6-13% YoY เป็น 3-5% YoY ในปี 2025 จาก new tariff โดยมองว่าปริมาณการขายอาจเติบโตน้อยลงกว่าที่คาดไว้ (จากราคาขาย retail ที่เพิ่มขึ้น) และบริษัทอาจช่วยรับราคาส่วนเพิ่มบางส่วน (end customers รับราคาส่วนเพิ่มเป็นหลัก รองลงมาเป็นผู้นำเข้า global brand owners และ ITC)

o TU (ส่งออก US สัดส่วน 39%) ประเทศคู่แข่งไทยสำหรับการส่งออกหลักไปยัง US ในสินค้า Frozen ได้แก่ เวียดนาม อินโดนีเซีย อินโดนีเซีย และเอกวาดอร์ ขณะที่ประเทศผู้ส่งออกหลักไปยัง US ในสินค้า Ambient ได้แก่ เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเอกวาดอร์ ทั้งนี้ TU มีแผนบริหารจัดการ Tariff ดังนี้ 1) TU มีการนำเข้า Frozen เข้าสู่ US จากหลายประเทศ ทำให้สามารถเลือกบริหารจัดการเลือกประเทศที่มี tariff ต่ำกว่าได้ 2) TU มีการนำเข้า ambient จากไทยเป็นหลัก ซึ่งจากอัตราภาษีใหม่ (19%) บริษัทยังมองว่าสามารถบริหารจัดการได้ และสามารถเลือกแผนบริหารจัดการแบ่งการผลิตไปยังโรงงานของบริษัทที่ประเทศกานา/ซีเชลล์ (ปัจจุบันผลิตเพื่อส่งออกไปขายในยุโรป) ที่มีอัตราภาษีต่ำกว่าได้บางส่วน 3) TU อาจมีผลกระทบการนำเข้า pet food (ITC) จากไทย ตามเป้าหมาย ITC ใหม่ ทั้งนี้ เรายังรอติดตามว่าบริษัทจะมีการปรับเป้าหมายปริมาณการขายลดลง (ผลจากราคาขายใน US ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก Tariff) ตาม ITC หรือไม่ (TU จะประกาศงบ 4 ส.ค. และประชุมในวันที่ 5 ส.ค.)

  • ผลกระทบในฝั่งการนำเข้า

o การนำเข้าอาหารสัตว์ เรามองเป็นบวกต่อต้นทุนผู้ผลิตเนื้อสัตว์ (GFPT BTG CPF) จากข่าวการเก็บภาษีนำเข้า 0% จากข้าวโพด (ราคาต่ำกว่าราคาในไทยและราคานำเข้าจากพม่าอยู่ 10%) และกากถั่วเหลือง (ราคาใกล้เคียงเดิมที่ไทยนำเข้าจากบราซิล) โดยข่าวล่าสุดระบุว่า อาจเปิดให้นำเข้าข้าวโพดได้ 1-2 ล้านตันและกากถั่วเหลืองในปริมาณที่ใกล้เคียงกัน (ตัวเลขดังกล่าวใกล้เคียงกับสัดส่วนการนำเข้าข้าวโพดนอกฤดูกาล ทดแทนที่ปรกติไทยนำเข้าจากพม่า ทั้งนี้ ความต้องการข้าวโพดไทยอยู่ที่ 9 ล้านตัน/ปี โดยผลิตในประเทศ 5 ล้านตัน นำเข้าจากพม่า 2 ล้านตัน และใช้อาหารสัตว์อื่นในประเทศทดแทนข้าวโพดที่ขาด/นำเข้าข้าวสาลี 2 ล้านตัน)

 

o การนำเข้าเนื้อหมู เรามองผลกระทบต่อผู้ผลิตหมูมีจำกัด (BTG CPF) โดยจากข่าวล่าสุดระบุว่า อาจเปิดให้นำเข้าเนื้อหมูจาก US ในสัดส่วนไม่ถึง 1% ของยอดการบริโภคหมูในไทย รวมถึงจะมีการออกหลักเกณฑ์เงื่อนไขเพื่อไม่ให้มีการนำเข้าง่ายจนเกินไป เช่น มีการขอตรวจโรงงานก่อนว่ามีการใช้สารเร่งเนื้อแดงหรือไม่ เป็นต้น แต่ในส่วนของเครื่องในหมูไทยจะไม่เปิดให้

oปัจจัยต้องติดตามได้แก่ ข่าวรายละเอียดโดยสรุปสำหรับโควตาการนำเข้า และ timeline ที่ภาษีนำเข้าใหม่มีผล (ตามข่าวล่าสุดสินค้าบางชนิดมีผลเลยในสินค้าที่พร้อม เช่น สินค้าที่ประเทศไทยไม่สามารถผลิตได้ ขณะที่สินค้าบางชนิดจะทยอยมีผลใน 3-5 ปี)

  • หุ้นเด่นในกลุ่มของเรา ยังคงเป็น CPF GFPT
Author
Slide9
ศิริมา ดิสสรา, CFA

หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์

Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5