สัปดาห์นี้ตลาดปรับตัวลดลงจากปัจจัยเสี่ยงที่เข้ามามากขึ้น ทั้งจาก (1) ความเสี่ยงภาคการเงินที่มีแนวโน้มกระทบเศรษฐกิจมากขึ้น โดยรายงาน Senior Loan Officer Survey ของ Fed ระบุมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อของธนาคารสหรัฐเข้มงวดใกล้เคียงระดับวิกฤต ขณะที่รายงาน Financial Stability Report ระบุว่าสถานการณ์ Silent bank run ทำให้เกิดวิกฤตสภาพคล่องธนาคาร Regional bank ต่อเนื่อง ทำให้เจ้าหน้าที่ธนาคารคุมเข้มมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อยากขึ้น เกิดความเสี่ยง Credit crunch และกระทบเศรษฐกิจในระยะต่อไป (2) ตัวเลขเศรษฐกิจและเงินเฟ้อชะลอลง โดยเงินเฟ้อผู้บริโภคสหรัฐและจีนต่ำกว่าคาด โดยเงินเฟ้อทั่วไปสหรัฐเดือนเม.ย.ปรับขึ้นมา 4.9%YoY (+0.4%MoM) ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของตลาดและตัวเลขเดือนมี.ค.ที่ 5.0%YoY ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 5.5%YoY (+0.4%MoM) ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาด ทั้งนี้ ราคาที่อยู่อาศัย น้ำมันเบนซินและยานพาหนะมือสองเป็นปัจจัยหลักของเงินเฟ้อในเดือนเม.ย. ซึ่งเงินเฟ้อที่ต่ำกว่าคาด ทำให้ Fed Watch Tool มองว่ามีโอกาส 93% ที่ Fed จะคงดอกเบี้ย และจะเริ่มลดลงในเดือน ก.ย. จนถึงระดับ 4.4% ณ สิ้นปี (3) เงินเฟ้อจีนชะลอตัวเช่นกัน โดยอยู่ที่ 0.1% YoY ต่ำกว่าคาดที่ 0.4% ด้านส่งออกและนำเข้าจีนหดตัวเกินคาดมาก โดยนำเข้าหดตัวถึงกว่า -7.9% จากคาดว่าจะอยู่ที่ +1.1% (4) การผลิตภาคอุตสาหกรรมในเยอรมนี ที่หดตัว -3.4% เทียบกับเดือนก่อน ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจอื่น ๆ ชะลอเช่นกัน (5) การเจรจาเพิ่มเพดานหนี้ไม่คืบหน้า หลังจากที่ ปธน.โจ ไบเดน และนายเควิน แมคคาร์ธี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับการปรับเพิ่มเพดานหนี้ของรัฐบาลสหรัฐ เนื่องจากไบเดน ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอจากทางฝั่งพรรครีพับลีกันที่ต้องการให้ลดการใช้จ่ายของรัฐบาลกลางในช่วงหลายปีข้างหน้า ถึงอย่างนั้น ทั้งสองฝ่าย สองฝ่ายให้คำมั่นว่า จะไม่ให้เกิดการผิดชำระหนี้อย่างแน่นอน และจะกลับมาเจรจาร่วมกันอีกครั้งในวันศุกร์ (12 พ.ค.) ขณะที่เหลือเวลาอีก 3 สัปดาห์ก่อนที่รัฐบาลสหรัฐอาจจะเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้ โดยปัจจุบันเพดานหนี้ของรัฐบาลสหรัฐอยู่ที่ระดับ 31.4 ล้านล้านดอลลาร์
ตลาดหุ้นโลก
•สัปดาห์นี้ตลาดปรับตัวลดลงจากปัจจัยเสี่ยงที่เข้ามามากขึ้น ทั้งจาก (1) ความเสี่ยงภาคการเงินที่มีแนวโน้มกระทบเศรษฐกิจมากขึ้น โดยรายงานของ Fed ระบุมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อของธนาคารสหรัฐเข้มงวดใกล้เคียงระดับวิกฤต (2) ตัวเลขเศรษฐกิจและเงินเฟ้อชะลอลง โดยเงินเฟ้อผู้บริโภคสหรัฐและจีนต่ำกว่าคาด และเป็นทิศทางที่ลดลงต่อเนื่อง ขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมเยอรมนีหดตัวมากขึ้น และ (3) การเจรจาเพิ่มเพดานหนี้ไม่คืบหน้า ส่งผลให้ความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้เพิ่มมากขึ้น
ตลาดหุ้นไทย
•สัปดาห์นี้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวดีขึ้นจากแรงเข้าสู่ตลาดหุ้นขนาดใหญ่ในระหว่างช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง ขณะที่ผลประกอบการที่ออกมาในสัปดาห์นี้ส่วนใหญ่ตามคาดหรือดีกว่าคาด ขณะที่สถาบันอาหารคาดว่าการส่งออกอาหารไทยจะมีทิศทางดีขึ้นจากความต้องการทั่วโลกที่สูงขึ้น ขณะที่อุตสาหกรรมภาพยนต์ระบุปีนี้ฟื้นตัวดีขึ้นมากจากความต้องการรับชมของประชาชนและมีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เตรียมฉายดึงดูดผู้ชมต่อเนื่อง ขณะที่สมาคมธนาคารไทยเตรียมเก็บค่าธรรมเนียมธุรกรรมเงินสุดเพื่อลดต้นทุนของภาคธนาคาร
ตลาดพันธบัตร
•ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี ปรับลดลงมาอยู่ที่ 3.38% จากความเสี่ยงเศรษฐกิจและภาวะการเงินตึงตัวที่มีมากขึ้นหลังวิกฤตธนาคาร ขณะที่ ระยะสั้น 2 ปี ปรับตัวลดลงไปอยู่ที่ 3.89% ทำให้ส่วนต่างดอกเบี้ย 2-10 ปี ทรงตัวที่ -51 bps
•ผลตอบแทนพันธบัตรไทยอายุ 10 ปี ทรงตัวที่ 2.50% ขณะที่ระยะสั้น อายุ 2 ปี ปรับขึ้นที่ 1.94% ขณะที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิที่ 36,176 ล้านบาท
ตลาดอัตราแลกเปลี่ยน•ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (DXY) ทรงตัวที่ 101.8 จุด ขณะที่ค่าเงินเยนทรงตัวที่ 134.6 เยน ด้านค่าเงินยูโรอ่อนลงเล็กน้อยที่ 1.09 ดอลลาร์ต่อยูโร ด้านค่าเงินเอเชีย ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นที่ 33.76 บาท ขณะที่เงินหยวนอ่อนลงที่ระดับ 6.94 หยวน
PDF คลิกอ่านเพิ่มเติม WealthWeekend_230512_T