หากไม่ต่ำกว่า 1540 จุด ยังขึ้นได้ต่อ |
แนวโน้มตลาดวันนี้ |
SET สร้างสัญญาณบวกทางเทคนิค หลังมีการ breakout กรอบบนบริเวณ 1540-1545 จุด ทำให้จากแนวต้านกลายเป็นแนวรับ ดังนั้น หากไม่ต่ำกว่า คาดว่าดัชนีปรับขึ้นได้ต่อ โดยมีแนวต้านถัดไปที่ 1570 และ 1580 จุด ตามลำดับ ประเด็นสำคัญ ติดตามการประชุมธนาคารกลางต่างๆ ในสัปดาห์นี้ |
ประเด็นสำคัญ |
• สัปดาห์นี้ติดตามการประชุมธนาคารกลางหลายแห่ง โดยการประชุม Fed 13-14 มิ.ย. คาดคง ด.บ. ที่ระดับ 5.00-5.25% ส่วนการประชุม ECB 15 มิ.ย. คาดปรับขึ้น ด.บ. 0.25% และการประชุม BOJ 15-16 มิ.ย. คาดยังคงใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายพิเศษ• กระทรวงเกษตรสหรัฐ (USDA) ประมาณการว่า สต็อกข้าวโพดของสหรัฐในปี 2566-2567 เพิ่มขึ้น 35 ล้านบุชเชล, สต็อกถั่วเหลืองเพิ่มขึ้น 15 ล้านบุชเชล และสต็อกข้าวสาลีเพิ่มขึ้น 6 ล้านบุชเชล• ธปท.รายงาน ศก. ไทยรายภูมิภาค เม.ย. พบว่าภาคเหนือ อีสาน ใต้ ยังใช้จ่ายฝืดเคือง การอุปโภคบริโภคยังขยายตัวติดลบจากปีก่อน แต่ได้ภาคการท่องเที่ยวช่วยกระตุ้น ขณะที่ดัชนีเชื่อมั่นผู้ประกอบการที่พักแรม พ.ค. 66 ลดลงหลังท่องเที่ยวเข้าสู่ช่วงโลว์ซีซั่น ด้าน ม. หอการค้าไทยประเมินการท่องเที่ยวหนุน ศก.ไทยปีนี้ สร้างรายได้ 2.38 ล้านลบ.• พาณิชย์ระบุราคาหมู-ไก่-ไข่ ปรับขึ้นจากอากาศร้อน ส่งผลให้ผลผลิตลดลง ขณะที่ปุ๋ย-ยาฆ่าแมลงราคาลดลง 50% ทั้งนี้จะเร่งควบคุมราคาสินค้าปลายทางและปรับลดให้สอดคล้องกัน• ภาคธุรกิจของไทยมีความตื่นตัวในการลงทุนเทคโนโลยี AI เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะหลังการมาของ ChatGPT และ Generative AI• GM และ Ford ประกาศเตรียมใช้ระบบชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla Supercharger |
กลยุทธ์การลงทุน |
มอง SET จะผันผวนในกรอบ และมี Upside จำกัด หลังขาดปัจจัยสนับสนุน โดยมองการประชุมนโบบายการเงินของเฟดจะมีมติคงดอกเบี้ยตามตลาดคาด แต่ต้องจับตาหากเฟดส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ก.ค. และเงินเฟ้อ พ.ค. ของสหรัฐออกมาสูงกว่าตลาดคาด จะเป็น sentiment ลบระยะสั้นต่อบรรยากาศลงทุนในตลาดหุ้นไทย ควบคู่ไปกับ ความกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวเศรษฐกิจจีนและสถานการณ์จัดตั้งรัฐบาลใหม่ของไทยที่ล่าช้า จะยังคงเป็นปัจจัยกดดันการลงทุนต่อเนื่อง ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” |
ล็อคเป้าลงทุน |
Weekly Portfolio : มอง SET ผันผวนในกรอบและมี Upside จำกัด เนื่องจากตลาดอยู่ระหว่างจับตาการประชุมนโยบายการเงินของเฟดและเงินเฟ้อ พ.ค. ของสหรัฐ กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้1. หุ้นที่คาดผลการดำเนินงาน 2Q66 จะยังเติบโตได้ดีทั้ง YoY และ QoQ เลือก AOT BBL ADVANC MINT OSP และหุ้นที่คาดผลการดำเนินงานผ่านจุดต่ำสุดแล้ว เลือก KCE ONEE2. หุ้นเชิงรับหากเฟดส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในเดือน ก.ค. และเงินเฟ้อสหรัฐออกมาสูงกว่าตลาดคาด เลือก BDMS BEM3. นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง ซึ่งต้องการเก็งกำไรระยะสั้น หากเฟดส่งสัญญาณไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ย ก.ค. และเงินเฟ้อสหรัฐออกมาต่ำกว่าตลาดคาด เลือก DELTA PTTEP BCPขณะที่ช่วงสั้นแนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนสำหรับหุ้นที่มีความเสี่ยงหรือปัจจัยลบกดดันราคาหุ้น ดังนี้ 1) หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่ม PTT ออกไปก่อน เนื่องจากมีความเสี่ยงหรือความไม่ชัดเจนของโครงสร้างราคาพลังงานจากนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ 2) หุ้นที่คาดได้รับผลกระทบอย่างมีนัย จากนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาลใหม่ ได้แก่ กลุ่มขนส่งพัสดุ (KEX) กลุ่มอาหาร (CPF ZEN GFPT TU AU CENTEL) และกลุ่มอสังหาฯ (LPN PSH SIRI QH AP) และ 3) หุ้นที่เราแนะนำ Underperform หรือมีความเสี่ยงที่ยังต้องติดตาม (AAV SAWAD MST NRF) |
Daily Focus |
AOT ปี FY2566 (ต.ค. 65-ก.ย. 66) คาดผลประกอบการจะฟื้นตัวกลับมามีกำไร 1.5 หมื่นลบ. โดยกำไรจะเร่งตัวขึ้นในระยะถัดไป ด้วยแรงหนุนจากจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศที่เติบโตเพิ่มขึ้น และการกลับมาเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำNYT เป็นหุ้นที่ได้อานิสงส์บวกจากการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่องของตลาดส่งออกรถยนต์ของไทยและตลาดนำเข้ารถยนต์ EV โดย 2Q66 คาดกำไรโตเด่น YoY สะท้อนจากปริมาณรถยนต์ผ่านท่าของบริษัท เม.ย. และ พ.ค. ที่โต 31%YoY และ 22%YoY ตามลำดับ |
บทวิเคราะห์วันนี้ |
Stock Note – NYT |