แกว่งในกรอบ 1540-1560 จุด |
แนวโน้มตลาดวันนี้ |
คาด SET แกว่งในกรอบ 1540-1560 จุด เนื่องจากนักลงทุนรอดูตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐคืนนี้ และต่อด้วยผลประชุมเฟดในคืนพรุ่งนี้ รวมถึงติดตามสถานการณ์ด้านการเมืองในประเทศ ทั้งนี้ในภาพรวม มีจุดติดตามอยู่ที่ 1540 จุด หากไม่ต่ำกว่า คาดดัชนียังปรับขึ้นได้ต่อ โดยหากขึ้นทะลุผ่าน 1560 จุด จะเป็นสัญญาณบวก และมีแนวต้านถัดไปที่ 1570 จุด |
ประเด็นสำคัญ |
• TDRI คาด GDP ปีนี้โต 3.5% ประเมิน ศก. ครึ่งปีหลังดีกว่าครึ่งปีแรก หนุนจากการท่องเที่ยว-การส่งออกไปจีน-กำลังซื้อใน ปท. แต่กังวลหนี้ครัวเรือนที่สูง และการเมืองที่ไม่มีเสถียรภาพอาจทำงบฯ ปี 67 ล่าช้า• Goldman Sachs ปรับเพิ่มคาดการณ์ดัชนี S&P500 สิ้นปีนี้ที่ระดับ 4,500 จุด จากเดิม 4,000 จุด จากภาวะการซื้อขายที่คึกคัก แต่ปรับลดคาดการณ์ราคาน้ำมัน Brent ส่งมอบ ธ.ค. ลงสู่ 86 จากเดิม 95 เหรียญ/บาร์เรล และ WTI สู่ 81 จากเดิม 89 เหรียญ/บาร์เรล คาดอุปทานน้ำมันสูงเกินคาดถึงปีหน้า• ซาอุดีอาระเบียประกาศข้อตกลงการลงทุนครั้งใหญ่มูลค่ากว่าหมื่นล้านเหรียญระหว่างจีนกับกลุ่ม ปท. อาหรับในการประชุมธุรกิจจีน-อาหรับ• ราคาแร่นิกเกิลปรับลดลงจากสูงสุดเมื่อปี 2565 โดยอินโดนีเซียเร่งถลุงแร่นิกเกิลจำนวนมากเพื่อป้อนอุตสาหกรรม EV และสแตนเลส• Oracle รายงานผลประกอบการกำไรและรายได้ 4Q สูงกว่าคาด ทำให้ราคาหุ้นทำจุดสูงสุดใหม่• UBS ประกาศว่าธนาคารได้เสร็จสิ้นการเข้าซื้อกิจการ Credit Suisse แบบเร่งด่วนแล้ว โดยจะดูแลสินทรัพย์มูลค่ากว่า 5 ล้านล้านเหรียญ• รัฐบาลจีนระบุการแพร่ระบาดโควิด-19 ในเดือน พ.ค. เพิ่มสูงขึ้น โดยอัตราผลตรวจเชื้อใน รพ. เพิ่มขึ้นถึงกว่า 40%MoM ใกล้เคียงจุดสูงสุดเมื่อช่วงสิ้นปี 2565 |
กลยุทธ์การลงทุน |
มอง SET จะผันผวนในกรอบ และมี Upside จำกัด หลังขาดปัจจัยสนับสนุน โดยมองการประชุมนโบบายการเงินของเฟดจะมีมติคงดอกเบี้ยตามตลาดคาด แต่ต้องจับตาหากเฟดส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ก.ค. และเงินเฟ้อ พ.ค. ของสหรัฐออกมาสูงกว่าตลาดคาด จะเป็น sentiment ลบระยะสั้นต่อบรรยากาศลงทุนในตลาดหุ้นไทย ควบคู่ไปกับ ความกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวเศรษฐกิจจีนและสถานการณ์จัดตั้งรัฐบาลใหม่ของไทยที่ล่าช้า จะยังคงเป็นปัจจัยกดดันการลงทุนต่อเนื่อง ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” |
ล็อคเป้าลงทุน |
Weekly Portfolio : มอง SET ผันผวนในกรอบและมี Upside จำกัด เนื่องจากตลาดอยู่ระหว่างจับตาการประชุมนโยบายการเงินของเฟดและเงินเฟ้อ พ.ค. ของสหรัฐ กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้1. หุ้นที่คาดผลการดำเนินงาน 2Q66 จะยังเติบโตได้ดีทั้ง YoY และ QoQ เลือก AOT BBL ADVANC MINT OSP และหุ้นที่คาดผลการดำเนินงานผ่านจุดต่ำสุดแล้ว เลือก KCE ONEE2. หุ้นเชิงรับหากเฟดส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในเดือน ก.ค. และเงินเฟ้อสหรัฐออกมาสูงกว่าตลาดคาด เลือก BDMS BEM3. นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง ซึ่งต้องการเก็งกำไรระยะสั้น หากเฟดส่งสัญญาณไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ย ก.ค. และเงินเฟ้อสหรัฐออกมาต่ำกว่าตลาดคาด เลือก DELTA PTTEP BCPขณะที่ช่วงสั้นแนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนสำหรับหุ้นที่มีความเสี่ยงหรือปัจจัยลบกดดันราคาหุ้น ดังนี้ 1) หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่ม PTT ออกไปก่อน เนื่องจากมีความเสี่ยงหรือความไม่ชัดเจนของโครงสร้างราคาพลังงานจากนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ 2) หุ้นที่คาดได้รับผลกระทบอย่างมีนัย จากนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาลใหม่ ได้แก่ กลุ่มขนส่งพัสดุ (KEX) กลุ่มอาหาร (CPF ZEN GFPT TU AU CENTEL) และกลุ่มอสังหาฯ (LPN PSH SIRI QH AP) และ 3) หุ้นที่เราแนะนำ Underperform หรือมีความเสี่ยงที่ยังต้องติดตาม (AAV SAWAD MST NRF) |
Daily Focus |
OR ราคาน้ำมันที่ลดลงจะช่วยลดแรงกดดันจากการกำหนดเพดานราคา (โดยเฉพาะน้ำมันดีเซล) ของรัฐบาลและค่าการตลาดของ OR โดยปี 2566 คาดกำไรสุทธิจะเพิ่มขึ้น 31%YoY จากค่าใช้จ่ายการตลาดลดลงและค่าการตลาดที่ดีขึ้นKCE มองผลประกอบการคาดจะกลับมาเติบโตอีกครั้งใน 2H66 จาก Pent up demand โดยเฉพาะจากลูกค้าฝั่งยุโรปซึ่งคาดจะชดเชยการปรับลดราคาขายให้กับลูกค้าได้ และคาดจะดีต่อเนื่องไปถึงปี 2567 ที่มีการขยายกำลังผลิตครั้งใหญ่ |
บทวิเคราะห์วันนี้ |
BAM – Valuation ถูก แต่ขาดปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้น |