Upside ระยะสั้นจำกัดรอโหวตนายกฯ |
แนวโน้มตลาดวันนี้ |
แม้ SET ได้ Sentiment บวก ตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้น และราคาน้ำมันปรับขึ้นโดดเด่น เป็นบวกต่อกลุ่มพลังงาน อย่างไรก็ตาม นักลงทุนในตลาดรอปัจจัยสำคัญ สำหรับการโหวตเลือกนายกฯ ในวันพรุ่งนี้ ทำให้กรอบบนถูกจำกัดที่แนวต้าน 1510-1520 จุด ด้านแนวรับอยู่ที่ 1487 และ 1479 จุด หากไม่ต่ำกว่า ยังเป็นสัญญาณที่ดี |
ประเด็นสำคัญ |
• Fitch Ratings คงอันดับความน่าเชื่อถือของไทยที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือ (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook)• ททท.วางเป้าปี 2567 การท่องเที่ยวฟื้นตัว 100% เท่ากับปี 2562 ก่อนโควิด-19 ระบาด สร้างรายได้ท่องเที่ยว 3 ล้านลบ. คิดเป็น 16% ของ GDP• ครม. รักษาการ เห็นชอบไม่ต่ออายุมาตรการลดภาษีน้ำมันดีเซลที่จะสิ้นสุด 20 ก.ค. นี้ เพื่อไม่สร้างภาระผูกพันรัฐบาลชุดหน้า-ราคาน้ำมันเริ่มปรับลดลง โดยให้ใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ ลดภาระค่าใช้จ่าย ปชช. แทน กระทบเชิงลบต่อหุ้นกลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์• JAS ขอแก้ไขสัญญาโครงสร้างค่าเช่า JASIF โดยจะมีการขอยกเลิกสัญญาประกันรายได้ค่าเช่าออกไป และขยายสัญญาที่เดิมจะหมดอายุ 29 ม.ค. 2032 ไปเป็น 31 ธ.ค. 2038 เรามองโอกาสผ่านการประชุมผู้ถือหุ้นในรอบนี้มากกว่าครั้งที่ผ่านมา เนื่องจากสัดส่วนของ GULF เข้ามาถือใน JAFIS 4.25% เป็นบวกต่อ ADVANC ในระยะสั้น เนื่องจากแรงกดดันต่อผลประกอบการหลังควบรวมลดลง แต่มองเป็น sentiment ลบต่อ JASIF จากปันผลที่จะลดลงจากรายได้ที่ลดลงตามสัญญาใหม่ แต่ในเชิงราคาเป้าหมายจะกระทบจำกัด เพราะแลกมาด้วยสัญญาที่ยาวขึ้น• IEA คาดตลาดน้ำมันโลกอาจเข้าสู่ภาวะอุปทานตึงตัวใน 2H66 จากอุปสงค์น้ำมันของจีนและ ปท. กำลังพัฒนา รวมทั้ง OPEC+ ลดการผลิตน้ำมัน• ดีล Microsoft-Activision คืบหน้า หลังศาลตัดสินปฏิเสธคำร้องของ FTC |
กลยุทธ์การลงทุน |
ช่วงสั้นมอง SET มีโอกาสได้รับแรงกดดันจาก Beige Book ของเฟดซึ่งคาดว่าจะมีแนวโน้มของกิจกรรมเศรษฐกิจสหรัฐที่ชะลอตัว อีกทั้งเงินเฟ้อของสหรัฐและอังกฤษที่ปรับตัวลงค่อนข้างช้า ขณะที่ในประเทศอยู่ระหว่างติดตามความคืบหน้าผลการโหวตนายกรัฐมนตรีของไทยในวันที่ 13 ก.ค. นี้ ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “เน้นตั้งรับ และ Selective Buy” |
ล็อคเป้าลงทุน |
Weekly Portfolio : มอง SET ยังได้รับแรงกดดันจากปัจจัยการเมืองในไทยและเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “เน้นตั้งรับ และ Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้1. หุ้นที่คาดผลการดำเนินงาน 2Q66 จะยังเติบโตได้ดี YoY เลือก AOT BBL ADVANC MINT OSP BDMS BEM2. หุ้นพื้นฐานดีซึ่งคาดยังมีศักยภาพจ่ายเงินปันผลสูง โดยคาดให้ Div. Yield ปี 2023 มากกว่าปีละ 5% เลือก TISCO LH AP3. นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้แนะนำซื้อเก็งกำไรหาก SET ปรับลงมาแถว 1450 จุด สำหรับหุ้นที่คาดมีโอกาสฟื้นตัวหลังราคาปรับลงลึกจนซื้อขายด้วย PER และ PBV ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย -1SD เลือก CRC GULF SCGPขณะที่ช่วงสั้นแนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนสำหรับ 1) หุ้นกลุ่มอาหาร (TU CPF GFPT BTG) หลังมองมีโอกาสที่ตลาดจะปรับลดคาดดการณ์กำไรลงหลังประกาศงบ 2Q66 ซึ่งคาดภาพรวมอ่อนทั้ง YoY และ QoQ 2) หุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากปรากฎการณ์เอลนีโญจากกำลังซื้อภาคเกษตรที่ลดลง ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ (GLOBAL) กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG มีต้นทุนน้ำตาลสูง) กลุ่มโรงไฟฟ้าพลังน้ำ (CKP) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT) และ 3) หุ้นเทคโนโลยี (DELTA HANA KCE) จากความชัดแย้งระหว่างสหรัฐและจีน อีกทั้งผลการดำเนินงาน 2Q66 ยังมีแนวโน้มฟื้นตัวช้า |
Daily Focus |
BBL 2Q66 คาดกำไรเติบโต 56%YoY และ 8%QoQ ซึ่งเป็นการเติบโตที่แข็งแกร่งสุดในกลุ่มธนาคาร แรงหนุนจากการตั้งสำรองที่ลดลงและ NIM ที่กว้างขึ้น อีกทั้งมีแนวโน้มที่จะได้ประโยชน์มากที่สุดจากภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นและมีความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่ำกว่าธนาคารอื่นๆADVANC มองภาพรวมการแข่งขันในธุรกิจโทรศัพท์มือถือยังคงมีสัญญาณที่ดูดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย 2Q66 คาดกำไรจะสามารถกลับมาเติบโตทั้ง QoQ และ YoY อีกทั้งบริษัทเตรียมที่จะจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลหลังงบ 2Q66 ออก โดยคาดจะอยู่ที่ 3.5 บาทต่อหุ้น |
บทวิเคราะห์วันนี้ |
กลุ่มปิโตรเคมี – เปิด 3Q66 ด้วยส่วนต่างราคาที่ลดลง WoWSCC – พรีวิว 2Q66: คาดกำไรฟื้นตัว QoQSCGP – Valuation น่าสนใจ, ผลการดำเนินงานมีแนวโน้มฟื้นตัว |