ฟื้นจำกัด และอ่อนตัวได้ต่อ
SET สร้างสัญญาณลบทางเทคนิค
หลังหลุดแนวรับบริเวณ 1377 จุด ลงมา ด้านระยะสั้นมีโอกาสรีบาวด์ได้บ้าง
แต่มองการฟื้นตัวถูกจำกัดที่กรอบบนบริเวณแนวต้าน 1380 และ 1385 จุด ตามลำดับ
ด้านกรอบล่างมีจุดติดตามบริเวณแนวรับ 1365 จุด หากต่ำกว่า จะเป็นสัญญาณลบต่อ
และมีแนวรับถัดไปที่ 1360 จุด
ประเด็นสำคัญ
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET ยังแกว่งตัวเคลื่อนไหวในกรอบ
หลังขาดปัจจัยชี้นำและสิ้นสุดเทศกาลประกาศผลประกอบการ 1Q67
ของ บจ. แล้ว
ขณะที่ประเด็นในประเทศลุ้นอาจมีแรงเก็งกำไรในหุ้นขนาดใหญ่จากความคาดหวังข่าวความคืบหน้าการจัดตั้งกองทุน
LTF นอกจากนั้นตัวเลขเศรษฐกิจในต่างประเทศเองก็มีแนวโน้มชะลอตัวลง
ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”
ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์
ตลาดหุ้นไทยจะแกว่งตัวในกรอบ หลังขาดปัจจัยชี้นำและสิ้นสุดเทศกาลประกาศงบ
1Q67 โดยสัปดาห์นี้รอลุ้นข่าวความคืบหน้าการฟื้น LTF กลับมาอีกครั้ง
ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลัก
ดังนี้
1) หุ้น Big Cap. ซึ่งกำไร 1Q67 ออกมาดีกว่าตลาดคาด และ 2Q67 มองกำไรจะยังสามารถเติบโตทั้ง YoY และ QoQ
อีกทั้ง Valuation ยังไม่แพง เลือก MINT
ADVANC TU BEM CPF
2) สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการเก็งกำไรหุ้น
Mid-Small
Cap. ซึ่งคาดกำไร 2Q67
จะมีแนวโน้มเติบโตดีทั้ง YoY และ QoQ เลือก
KCE BTG OSP HMPRO TIDLOR
3) สถานการณ์ในตะวันออกกลางเริ่มเบาบางลง
ทำให้ราคาน้ำมันดิบ Bent
ปรับตัวลดลงมาอยู่ในกรอบล่างของช่วง 80-90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ซึ่งมองยังสามารถมีหุ้นน้ำมันสำหรับป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ได้ ดังนั้นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง จึงยังคงเลือกหุ้นน้ำมันขั้นต้นอย่าง
PTTEP
KCE มองกำไรจะเติบโตแข็งแกร่งสุดในกลุ่ม ปี 2567 คาดกำไรปกติโตเด่น 44.7%YoY โดย 2Q67 คาดกำไรเติบโตทั้ง YoY และ QoQ หนุนจากคำสั่งซื้อค้างส่งของ special grade PCB (HDI) ที่มีมาร์จิ้นสูง ส่วน 3Q67 เข้าสู่ High Season และ 4Q67 คาดอัตรากำไรขั้นต้นทำจุดสูงสุดจากมาตรการลดต้นทุน
CPALL มองราคาหุ้นยัง Undervalue ปัจจุบันซื้อขาย PER 67F ระดับ 23 เท่า (-2S.D. ค่าเฉลี่ย PER 10 ปี) สวนทางกำไรที่แข็งแกร่ง โดยปี 2567 คาดมีกำไรปกติ 2.3 หมื่นลบ. โต 28%YoY จากยอดขายและมาร์จิ้นที่ดีขึ้น อีกทั้งมีดอกเบี้ยจ่ายลดลง ซึ่งประมาณการยังไม่รวม upside จากโครงการดิจิทัลวอลเล็ต